คำตอบ:
ต่อมทอนซิลอักเสบเป็นการติดเชื้อที่บริเวณ ต่อมทอนซิลที่เรียกว่า Palatine tonsil ซึ่งจะอยู่ในช่องปากข้างคอใกล้กับโคนลิ้นสามารถมองเห็นได้เวลาเราอ้าปาก บางครั้งต่อมทอนซิลอักเสบจะจัดเป็นส่วนหนึ่งของคอหอยอักเสบ(Pharyngitis) ได้ซึ่งอาการทางคลินิกจะแยกจากกันได้ยาก โดยจะพบอาการที่เหมือนกันคือ เจ็บคอ สาเหตุของการเกิดทอนซิลอักเสบที่พบได้บ่อยคือ การติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะ rhinovirus จะพบได้มากที่สุด รองลงมาคือ coronavirus และ adenovirus นอกจากนี้ยังอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่สำคัญคือ สเตรปโตคอคคัส ( Streptococus group A ) ซึ่งเป็นเชื้อที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เช่น โรคหัวใจรูมาติค และทำให้เกิดเป็นโรคไตอักเสบได้ นอกจากนี้สามารถมีแบคทีเรียอื่นๆ เช่น ไมโคพลาสมา (Mycoplasma pneumonia) เป็นต้น ได้แต่พบได้ไม่บ่อยนัก อาการของทอนซิลอักเสบนอกจากจะมีอาการเจ็บคอแล้ว ยังสามารถพบไข้สูง หนาวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย แพทย์จะให้การวินิจฉัยโดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย จะพบต่อมทอนซิลโตขึ้นและมีการอักเสบบวม แดง มีจุดหนอง ถ้ามีความรุนแรงอาจพบฝ้าขาว หรืออาจมีต่อมน้ำเหลืองที่คอโตขึ้นได้ การรักษาทอนซิลอักเสบทำได้โดยการให้ยาและการแนะนำการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม
ยาที่ใช้ในการรักษาทอนซิลอักเสบ ในกรณีที่เป็นการติดเชื้อไวรัสซึ่งสามารถหายได้เอง อาจไม่จำเป็นต้องได้รับยารักษา สามารถใช้ยาแก้ปวดลดไข้ตามอาการได้ เช่น พาราเซตามอล ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หากเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียต้องมีการใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาซึ่งจะพิจารณาตามเชื้อสาเหตุ และมีวัตถุประสงค์เพื่อลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการ ป้องกันการติดต่อไปยังผู้อื่น และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น ยาปฏิชีวนะที่ควรใช้ได้แก่ ยากลุ่มเพนนิซิลิน ( penicillin) เนื่องจากอุบัติการณ์การเกิดการดื้อยาของเชื้อสเตรปโตคอคคัสที่เป็นเชื้อสาเหตุหลักของทอนซิลอักเสบมีน้อย ยาที่สามารถเลือกใช้ได้แก่ ยา penicillin V รับประทานครั้งละ 250 มิลลิกรัมทุก 8-12 ชั่วโมง หรือ amoxicillin ขนาด 250-500 มิลิกรัมทุก 8 ชั่วโมง ในผู้ป่วยที่แพ้ยากลุ่มเพนนิซิลินสามารถให้ยา erythromycin ขนาด 250-500 มิลลิกรัมทุก 6 ชั่วโมงได้ ซึ่งระยะเวลาในการรักษาใช้เวลา 10 วัน ในผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่มเพนนิซิลินในการรักษา มีอัตราการรักษาล้มเหลวประมาณร้อยละ 15-20 ซึ่งสาเหตุหลักของการล้มเหลวต่อการรักษาคือ การที่ผู้ป่วยกินยาไม่ครบ รองลงมาคือผู้ป่วยมี co-pathogen คือเชื้อประจำถิ่นบริเวณคอของผู้ป่วยเช่น Hemophillus influenza หรือ Morraxella catarrhalis สร้างเอนไซม์เพนนิซิลินเนส (penicillinase) ขึ้นมาทำลายยา ดังนั้นในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาจึงควรให้ยาในกลุ่มที่ไม่ใช่เพนนิซิลิน หรือให้ยาที่ทำลายเอนไซม์เพนนิซิลินเนสร่วมด้วย เช่น Amoxicillin-Clavulanic acid โดยให้มีขนาดยาของ amoxicillin 500 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง หรือในผู้ป่วยที่แพ้ยากลุ่มเพนนิซิลินสามารถให้ยา clindamycin ขนาด 600 มิลลิกรัมต่อวันแบ่งให้วันละ 2-4 ครั้ง ใช้ระยะเวลาในการรักษา 10 วัน นอกจากนี้ยังมียาอื่นที่สามารถใช้ได้เช่น ยากลุ่ม macrolides ได้แก่ Clarithromycin, azithromycin หรือกลุ่ม cephalosporins ได้แก่ cephalexin, cefuroxime
ในกรณีของคุณ หลังจากที่ได้รับประทานยา Amoxicillin-Clavulanic acid แล้ว สามารถประเมินโดยดูจากได้ลักษณะทางคลินิก 4 ข้อ ได้แก่ 1) ไม่มีอาการไอ 2) อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38o เซลเซียส 3) ต่อมทอนซิลเป็นหนอง 4) ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอด้านหน้าอักเสบ ซึ่งหากไม่มีอาการเหล่านี้อาจจะไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อ ให้การรักษาตามอาการ เช่นหากมีอาการปวดอยู่ก็สามารถให้ยาแก้ปวด หรือหากมีน้ำมูกไหลลงคอ ก็ให้ยาแก้แพ้ได้ นอกจากนี้การพิจารณาว่ามีการดื้อยาเกิดขึ้นหรือไม่ต้องดูปัจจัยเสี่ยงต่อการดื้อยา เช่น อายุน้อยกว่า 2 ปีหรือมากกว่า 65 ปี มีประวัติเคยได้รับยาปฏิชีวนะภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา มีประวัติการนอนโรงพยาบาลภายใน 5 วันที่ผ่านมา มีโรคร่วม หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงความร่วมมือของการรับประทานยาด้วยทุกครั้ง และการตรวจหาเชื้อดื้อยาแพทย์จะส่งตรวจเมื่อมีข้อบ่งชี้ในการตรวจเท่านั้น
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยทอนซิลอักเสบ ควรมีการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่สุก สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดหรือรสจัด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ พยายามทำความสะอาดภายในช่องปากบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารควรแปรงฟันหรือกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปาก น้ำเกลือ หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ เนื่องจากอาจมีเศษอาหารตกค้างในช่องปากและลำคอ ทำให้ทอนซิลอักเสบมากขึ้นได้ หากเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันบ่อย ๆ ต่อมทอนซิลจะโตขึ้น แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นแบบเรื้อรัง และอาจมีการอักเสบอย่างเฉียบพลันเป็น ๆ หาย ๆ ได้ การที่ต่อมทอนซิลโตจะทำให้เกิดร่องหรือซอก ซึ่งเศษอาหารอาจเข้าไปตกค้างอยู่ได้ ทำให้เกิดการอักเสบยืดเยื้อออกไป อาจจะต้องมีการรักษาโดยการตัดต่อมทอนซิลผู้ป่วยควรได้รับการตัดต่อมทอนซิลออก ได้แก่ มีต่อทอนซิลที่มีขนาดใหญ่ ทำให้เกิดทางเดินหายใจอุดตัน เคยมีภาวะหนองที่ข้างทอนซิล ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา หรือสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็ง นอกจากนี้ในบางภาวะที่ไม่รุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำให้ตัดทอนซิลทิ้ง เช่น มีอาการอักเสบบ่อยมากกว่า 6-7 ครั้งใน 1 ปี, มีกลิ่นปากจากทอนซิลอักเสบเรื้อรัง, ทอนซิลอักเสบชนิดสเตรปโตคอคคัส และทอนซิลที่โตข้างเดียวที่อาจเป็นมะเร็งได้
เอกสารอ้างอิง
1. Bisno AL, Gerber MA, Gwaltney JM Jr, et al. Practice guidelines for the diagnosis and management of group A streptococcal pharyngitis. Infectious Diseases Society of America. Clin Infect Dis 2002;35(2):113-25
2. Best practice : Tonsillitis . Available from : http://bestpractice.bmj.com/best-practice/monograph/598/highlights/summary.html Access on July 17,2012
3. สุทธิพร ภัทรชยากุล, ปวีณา สนธิสมบัติ, จันทิมา ชูรัศมี และคณะ. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน. Available from :http://qpharmnetwork.com/share/file/upperrespiratorgtractinfection.doc Access on July 17,2012