12. ภัยพิบัติจราจร
ภัยพิบัติจราจร (traffic disaster) ในที่นี้หมายถึง ภาวะที่มีการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากจากอุบัติภัยในการเดินทางโดยยานพาหนะต่างๆ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ จากการชนกัน การพลิกคว่ำ การตกราง(รถไฟ รถราง)/ตกเหว/ตกน้ำ/ตกสู่พื้นดิน การเกิดเพลิงไหม้ หรือการระเบิด (จากตัวเครื่องเอง/สิ่งของที่บรรทุกมา/การก่อการร้าย หรืออื่นๆ) เป็นต้น
ในประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรประมาณ 40 คน/วัน และอาจสูงถึง 100 คน/วันในช่วงเทศกาลสงกรานต์/ปีใหม่ แต่อุบัติเหตุจราจรส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมีผู้บาดเจ็บล้มตายเพียง 1-5 คน/ครั้ง จึงไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าเป็นภัยพิบัติสำหรับโรงพยาบาลทั่วไปได้
แต่สำหรับโรงพยาบาลเล็กๆ ที่มีแพทย์เพียง 1-2 คน การมีผู้บาดเจ็บรุนแรงเข้ามาพร้อมกัน 2-3 คน ก็อาจนับเป็นภัยพิบัติสำหรับโรงพยาบาลนั้นๆได้ เพราะทั้งแพทย์-พยาบาล และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลทั้งหมดต้องมาช่วยกันรักษาพยาบาลผู้ป่วยหนักทั้ง 2-3 คนนั้นทันที
อุบัติเหตุจราจรในประเทศไทยส่วนใหญ่ (70-80%) เป็นอุบัติเหตุจักรยานยนต์ 10-15% เป็นอุบัติเหตุรถปิกอัพและรถตู้ 3-5%เป็นอุบัติเหตุจักรยาน 2 และ 3 ล้อ 2-3%เป็นอุบัติเหตุ 3 ล้อเครื่อง 2-3%เป็นอุบัติเหตุรถยนต์เล็ก(รถเก๋ง) และ 1-2%เป็นอุบัติเหตุรถใหญ่ (รถทัวร์ รถขนส่ง รถ 6-10 ล้อ) และ <1% เป็นอุบัติเหตุรถไฟ เรือ เครื่องบินและอื่นๆ
การชนกันเองหรือชนกับของแข็งอื่น (ต้นไม้ กำแพง เสาไฟ ฯลฯ) หรือการพลิกคว่ำ การปะทะ/กระแทก มักทำให้เกิดการบาดเจ็บทั้งแบบทะลุและแบบไม่ทะลุ (penetrating & nonpenetrating or blunt trauma) และเกิดกลุ่มอาการอัด (crush syndrome) ได้
กลุ่มอาการอัดเป็นผลจากกล้ามเนื้อสลายตัวจากการบาดเจ็บ (traumatic rhabdomyolysis) ทำให้สารพิษเช่นโปแตสเซียม มัยโอโกลบิน ยูเรต ฟอสเฟต เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ช็อกจากปริมาตรพร่อง (hypovolemic shock) สารพิษสูงในเลือด เลือดเป็นกรด (metabolic acidosis) ภาวะช่องคับ (compartment syndrome) และไตล้มเฉียบพลัน
นอกจากการบาดเจ็บแบบทะลุและไม่ทะลุจากการปะทะ/กระแทกแล้ว อุบัติเหตุจราจรยังทำให้เกิดการบาดเจ็บจากสาเหตุอื่นๆ เช่น เพลิงไหม้ (เช่น กรณีรถบรรทุกก๊าซพลิกคว่ำที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2533 ทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านเรือน 12 หลัง ตึกแถว 36 คูหา รถยนต์ 47 คัน คนตาย 67 คน บาดเจ็บ 113 คน) การระเบิดของสิ่งที่บรรทุกมา (เช่น รถบรรทุกวัตถุระเบิดพลิกคว่ำที่อำเภอท้ายเหมืองจังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 ทำให้เกิดระเบิดรุนแรงจนบ้านเรือนเสียหาย 123 หลัง สถานที่ราชการ 21 แห่ง รถยนต์ 9 คัน รถจักรยานยนต์ 40 คัน คนตาย 172 คน บาดเจ็บ 110 คน) การได้รับพิษจากสารเคมีที่บรรทุกมาแล้วรั่วไหลไปตามพื้นดิน กระแสน้ำ หรือกระจายไปในอากาศ เป็นต้น
ก่อนเกิดเหตุ โรงพยาบาลควรจะได้เตรียม และซ้อมแผนเผชิญภัยพิบัติ (โดยทั่วไป) เป็นประจำ และควรจะฝึกอบรมบุคลากรของตนในการขับขี่ยานพาหนะตามกฎจราจร รวมทั้งการขับขี่รถพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติภัยแก่บุคลากรของตน และแก่ผู้ป่วยในรถพยาบาลฉุกเฉินด้วย
ขณะเกิดเหตุ ควรประสานงานกับฝ่ายตำรวจและหน่วยหา-กู้-นำออก ก่อนเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งอาจจะเกิดการรั่วไหลของสารพิษ น้ำมันเชื้อเพลิง วัตถุระเบิด และอื่นๆ
ถ้ามีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ควรส่งรถกู้ชีพขั้นต้นและขั้นสูงไปตั้ง "หน่วยรักษาพยาบาลฉุกเฉิน" ใกล้จุดเกิดเหตุ เพื่อทำการคัดแยก กู้ชีพ/ปฐมพยาบาล และส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว
ผู้ป่วยเหล่านี้เป็นผู้ป่วยคดี ต้องเก็บหลักฐานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยและเพื่อความเป็นธรรมด้วย
หลังเกิดเหตุ ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูสำหรับโรงพยาบาลและชุมชนด้วย โดยเฉพาะการรณรงค์เพื่อป้องกันอุบัติภัยจราจรกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
13. ภัยพิบัติจากโรคระบาด
ภัยพิบัติจากโรคระบาด ในที่นี้หมายถึง ภาวะที่มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากจากการติดเชื้อทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากน้ำมือมนุษย์ (การก่อการร้าย สงครามอาวุธชีวภาพ ฯลฯ)
โรคระบาดอาจเกิดจากเชื้อโรคที่เรารู้จักกันมานาน เช่น อหิวาตกโรค วัณโรค กาฬโรค ไข้จับสั่น ไข้สมองอักเสบ หรืออาจเกิดจากเชื้อโรคที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เช่น โรคซาร์ส (SARS, severe acute respiratory syndrome) ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน ไม่มีใครรู้ว่าเป็นโรคอะไร แต่มันระบาดรวดเร็วมากจนแพร่กระจายไปหลายประเทศทั่วโลก จนทำให้เกิดคนป่วย 8,098 คน ตาย 774 คน (อัตราตาย 9.6%) จึงรู้ว่าเป็นเชื้อใหม่ (SARS corona-virus) โชคดีที่มันระบาดเพียงช่วงสั้นๆ จากวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 แล้วก็หายเงียบไป และยังไม่มีผู้ใดคาดการณ์ได้ว่า มันจะกลับมาระบาดอีกหรือไม่
แต่หลังปี พ.ศ. 2547 หลายประเทศทั่วโลกเกิดการระบาดของไข้หวัดนก (avian influenza, bird flu หรือ influenza H5N1) ซึ่งเกิดครั้งแรกที่ฮ่องกงเมื่อ พ.ศ. 2540 แต่คุมไว้ได้ เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ติดต่อจากคนสู่คน แต่ก็กลัวกันว่ามันจะกลายพันธุ์ และติดต่อจากคนสู่คนได้ ซึ่งจะอันตรายมาก เพราะอัตราตายสูงกว่าซาร์ส
โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในระยะ 20-30 ปีนี้และแพร่กระจายไปทั่วโลก คือ โรค HIV/AIDS แต่ส่วนใหญ่อาการเกิดขึ้นช้าและกินเวลาหลายปีกว่าจะรุนแรงจนเกิดโรคแทรกซ้อนถึงชีวิต และในปัจจุบันก็มียาที่จะช่วยชะลออาการได้ คนจึงกลัวโรคนี้น้อยลง ทำให้โรคนี้ระบาดมากขึ้น
ในช่วงหน้าฝนในประเทศไทย มักจะมีโรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) โรคฉี่หนู (leptospirosis) เป็นต้น ระบาด แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้ป่วยพร้อมๆกันไปยังโรงพยาบาลเดียวกันวันละสิบๆคน จึงไม่ถือเป็นภัยพิบัติที่โรงพยาบาลไม่สามารถรับมือได้
ที่มักเกิดเป็นภัยพิบัติต่อโรงพยาบาลมักจะเป็นเรื่องอาหารเป็นพิษที่โรงเรียน งานบุญ หรืองานเลี้ยง ที่มีคนป่วยเป็นจำนวนมากไปยังโรงพยาบาลพร้อมกันเป็นสิบเป็นร้อยคน
ที่โด่งดังไปทั่วโลก คือ "หน่อไม้ดองในปี๊บเป็นพิษ" ที่จังหวัดน่าน จากเชื้อ Clostridium botulinum ซึ่งเชื้อพันธุ์ (spores) ของมันจะทนความร้อน 100oซ ได้หลายชั่วโมง เมื่อบรรจุหน่อไม้ใส่ปี๊บแล้วต้มเดือดไม่นานพอ และปิดฝาบัดกรีสนิทจนเกิดสภาพขาดออกซิเจน เช่นเดียวกับอาหารกระป๋องโดยทั่วไป เชื้อพันธุ์เหล่านี้ก็จะเจริญเติบโตและให้สารพิษ (toxins) ออกมา ที่พบส่วนใหญ่ เป็น toxin type A (51%), type B (21%), type E (12%) และที่เหลือเป็น type F และไม่ได้แยกชนิด
สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายถ้านำอาหารนั้นไปต้มให้เดือด หรือทำให้ร้อนถึง 80๐ซ. นาน 30 นาที แต่โดยทั่วไป เราจะกินอาหารกระป๋องโดยไม่นำไปทำให้ร้อนก่อนจึงเกิดเป็นพิษจากสารพิษ botulinum toxin ที่มีพิษต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต
"หน่อไม้ดองปี๊บ" ก็เช่นกัน ชาวบ้านคิดว่าผู้ผลิตต้มมาอย่างดีแล้วก่อนใส่ปี๊บ เวลานำมาทำอาหารจึงไม่ได้นำไปต้มใหม่ เมื่อนำหน่อไม้ปี๊บมาทำอาหารเลี้ยง คนจำนวนมากที่จังหวัดน่านเมื่อเดือนมีนาคม 2549 จึงมีคนป่วยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 100 คน และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจกว่า 40 คน (เพราะกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต) จนต้องเคลื่อนย้ายกระจายผู้ป่วยพร้อมเครื่องช่วยหายใจออกไปยังโรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้งส่งไปที่กรุงเทพฯด้วย โชคดีอย่างยิ่งที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากการร่วมมือกันอย่างเต็มที่ของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งการขนส่งผู้ป่วยทางอากาศ
กลุ่มอาการที่พึงระวังการระบาด (syndromes for surveillance) คือ
1. อาการทางการหายใจเฉียบพลัน (acute respiratory syndrome)
2. อาการระบบประสาทเฉียบพลัน (acute neurological dysfunction)
3. อาการทางผิวหนังเฉียบพลัน (acute dermatological syndrome)
4. อาการเลือดออกเฉียบพลัน (acute hemorrhagic syndrome)
5. อาการเหลืองเฉียบพลัน (acute jaundice syndrome)
6. อาการอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (acute diarrheal syndrome)
หลักเกณฑ์เพื่อระวังการระบาด คือ
1. ติดต่อง่าย (high potential for rapid transmission)
2. อัตราตายสูง (high fatality rate)
3. กลุ่มอาการใหม่ (newly recognized syndrome)
4. เป็นเรื่อง "เด่น-ดัง" (high political or media profile)
5. ใกล้ชายแดน (proximity to international borders)
6. เหตุการณ์ไม่ธรรมดาและไม่คาดฝัน (unusual & unexpected events)
7. เกิดในชุมชนหนาแน่น (occurring in high density or urban areas)
8. น่าจะเกิดจากสัตว์หรือมีพาหะ (possibility of zoonotic or vector transmission)
ตัวอย่างของเชื้อโรค ที่อาจระบาดทั้งโดยธรรมชาติและ/หรือโดยน้ำมือมนุษย์
1. กลุ่มอาการทางการหายใจ เช่น
1.1 ไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้หวัดนก (bird flu), ไข้หวัดใหญ่ระบาด (pandemic flu)
1.2 โรคซาร์ส (SARS หรือ severe acute respiratory syndrome) ที่เกิดจากไวรัสโคโรนา (SARS-CoV)
1.3 กาฬโรคปอด (pneumonic plaque)
1.4 โรคปอด anthrax (pulmonary anthrax)
1.5 โรคไอกรน (pertussis)
1.6 โรคเมลิออยด์ (melioidosis)
1.7 โรคลีเยินแนร์ (Legionnaire's disease)
1.8 วัณโรค (tuberculosis)
2. กลุ่มอาการระบบประสาท เช่น
2.1 โรคสมองอักเสบ เช่น Japanese, Nipah, West Nile, rabies
2.2 โรคไขสันหลังอักเสบ (poliomyelitis)
2.3 โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เช่น Neisseria meningitidis
2.4 โรคสมองพรุน (spongiform encep-halopathies) เช่น Creutzfeld-Jakob disease (CJD) ที่เกิดจากโปรตีนที่เป็น peptide (ที่ติดต่อสู่ คนและสัตว์ได้)ที่ได้ชื่อว่า "prion"
3. กลุ่มอาการทางผิวหนัง เช่น
3.1 ฝีดาษ (small pox) ซึ่งแม้จะ "หมด" ไปแล้ว แต่กลับถูกนำกลับมาใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้
3.2 ฝีดาษลิง (monkey pox)
3.3 โรคไข้และผื่นตามผิวหนังต่างๆ
4. กลุ่มอาการไข้และเลือดออก เช่น Dengue, Ebola, Lassa, Marburg, Hanta
5. กลุ่มอาการเหลือง เช่น ไข้ฉี่หนู (leptospirosis) มาลาเรีย
6. กลุ่มอาการอุจจาระร่วง เช่น อหิวาตกโรค บิด
ก่อนเกิดเหตุ โรงพยาบาลควรติดตามข่าว ภาวการณ์ระบาดของโรคต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และให้สงสัยภาวการณ์ระบาดทันทีเมื่อมีผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายกันเข้ามาพร้อมกันหรือต่อเนื่องกัน หรือเข้ากับข้อสงสัยจากข่าวการระบาดในที่อื่น แล้วรีบ
1. เตรียมจุดคัดแยกผู้ป่วยที่น่าสงสัยว่าเป็นโรคระบาด ออกจากผู้ป่วยอื่นๆ เพื่อนำผู้ป่วยไปตรวจรักษาในห้องแยก (ไม่ให้ปะปนกับผู้ป่วยอื่น)
2. เตรียมเครื่องป้องกันส่วนบุคคล (personal protective equipment, PPE) ซึ่งในกรณีโรคระบาด ส่วนใหญ่ต้องการเพียงเสื้อคลุมกันน้ำ (เสื้อฝน) ถุงมือ หน้ากาก (mask) ที่กันเชื้อไวรัสได้ (เช่น N95) รองเท้า เป็นต้น สำหรับบุคลากรและญาติ
3. เตรียมยา วัคซีน อุปกรณ์ และอื่นๆ ไว้ตามสมควรและอาจจำเป็นต้องให้วัคซีนแก่บุคลากรกลุ่มเสี่ยงก่อน เช่น ผู้ที่ต้องตรวจรักษาผู้ป่วย
4. ฝึกซ้อมบุคลากรให้พร้อมรับมือ ไม่ตื่นกลัว เมื่อเกิดภัยพิบัติ และรู้จักป้องกันตัวเอง
5. เตรียมห้องปฏิบัติการ (แล็บ) และการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อการตรวจวิเคราะห์เชื้อและสารพิษได้อย่างรวดเร็ว และไม่แพร่เชื้อออกไป
ขณะเกิดเหตุ รีบดำเนินการตามแผนที่วางไว้ โดยแยกผู้ป่วยที่น่าสงสัยไว้ก่อน แล้วรีบตรวจวิเคราะห์อย่างรวดเร็วว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่แน่ใจให้การรักษาไปก่อนถ้าทำได้โดยไม่มีปัญหา แจ้งหน่วยงานอื่นให้ทราบและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค (ในกรณีที่จำเป็นอาจต้องปิดโรงพยาบาล ไม่ให้คนเข้าและออก ถ้ามีผู้ป่วยติดเชื้อเพ่นพ่านทั่วไปในโรงพยาบาลโดยไม่ได้คัดแยกและกันตัวไว้ก่อน) ทำการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้ประชาชนตื่นตัว (แต่ไม่ตื่นกลัว) และรู้จักวิธีป้องกันตนเองจากการติดโรค เป็นต้น
หลังเกิดเหตุ ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาลและชุมชนหลังภาวะภัยพิบัติ เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล