16. ภัยพิบัติตึกถล่ม
ภัยพิบัติตึกถล่ม (building collapse disaster) หมายถึง ภาวะที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากการถล่ม/ทรุดตัวของตึก/อาคารสูง (high-rise building) ซึ่งอาจเกิดจากโครงสร้างอ่อนแอจากการออกแบบ/สร้างผิดแบบ/ต่อเติมผิดพลาด หรือเกิดจากไฟไหม้ การก่อการร้าย (เช่น รถบรรทุกระเบิดถล่มตึกสูงที่ Oklahoma City ใน พ.ศ. 2538 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 167 คน บาดเจ็บ กว่า 750 คน, การขับเครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึก World Trade Center ใน New York จนเกิดเพลิงไหม้ ทำให้โครงสร้างของตึกทนความร้อนไม่ได้ ถล่มตามกันลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,800 คน บาดเจ็บหลายพันคนใน พ.ศ. 2544) หรืออื่นๆ.
การถล่มตามกัน (progressive collapse) หมายถึง ปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction) ที่ความเสียหายต่อส่วนหนึ่ง (อาจเป็นเพียงส่วนเล็กๆ) ขยายลุกลามไปยังส่วนอื่น จนทำให้เกิดการถล่มของตึกเป็นวงกว้างหรือทั้งหมด เช่น เมื่อเครื่องบินชนตึก World Trade Center ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องบินติดไฟและไหม้รุนแรง จนเสาเหล็กในชั้นที่ไฟไหม้อ่อนตัว รับน้ำหนักของชั้นที่สูงๆ ขึ้นไปไม่ได้ ชั้นที่สูงๆ ขึ้นไปจึงถล่มลงมา ทำให้ชั้นที่อยู่ต่ำๆ ลงไปได้รับการกระแทกอย่างแรง จึงถล่มตามๆ กันลงมา ทั้งที่ตึกสูงทั้ง 2 นี้ ได้รับการก่อสร้างให้ทนแรงพายุทอร์นาโด แผ่นดินไหว และการชนโดยเครื่องบินโบอิ้ง 707 แล้วยังมีระบบดับเพลิงอัตโนมัติภายในตึก และอื่นๆ จนเคยโอ้อวดกันว่า เป็นตึกที่แข็งแรงที่สุดในโลก.
ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2536 เกิดไฟไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ทำให้โรงงานถล่มลงมา คนงานเสียชีวิต 188 คน บาดเจ็บ 485 คน เสียหายกว่า 300 ล้านบาท ถัดมาไม่กี่เดือน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2536 โรงแรมรอยัลพลาซ่า ที่อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ก็ถล่มจากการต่อเติมอาคาร มีผู้เสียชีวิต 137 คน บาดเจ็บ 364 คน
สาเหตุของตึกถล่ม
มักเกิดจากการออกแบบผิดพลาด การก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน รากฐานไม่แข็งแรง การรับน้ำหนักมากเกินไป ความผิดพลาดที่คาดไม่ถึง และ/หรือการเกิดภัยธรรมชาติ หรือภัยจากน้ำมือมนุษย์.
การบาดเจ็บจากตึกถล่ม
ผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ตึกถล่ม ส่วนใหญ่ จะเสียชีวิตทันที หรือเกือบจะทันที (immediate death) ส่วนน้อยจากการอัด (crush injuries) ไฟไหม้ (burns) ก๊าซพิษจากไฟไหม้ แรงระเบิด (ถ้ามีการระเบิดจากการก่อการร้าย หรือจากสารเคมีภายในตึกที่ได้รับความร้อนหรือเปลวไฟแล้วระเบิด) และอื่นๆ.
ผู้บาดเจ็บอาจเกิดจากบาดแผลทะลุ/กระแทก (penetrating/blunt injuries) แผลไหม้ การสูดดม ควัน/ก๊าซพิษ แรงระเบิด และอื่นๆ.
ก่อนเกิดเหตุ
การก่อสร้างตึก/อาคาร โดยเฉพาะที่สูงกว่า 3-4 ชั้น จึงต้องมีการออกแบบ การวางรากฐาน การก่อสร้าง การควบคุมงาน และอื่นๆ ให้เหมาะกับพื้นดิน สถานที่ และความเสี่ยงต่างๆ เช่น น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม การก่อการร้ายต่างๆ.
แม้ว่าไม่มีใครที่สามารถสร้างตึกที่คนอยู่ได้ ให้ทนต่อภาวะภัยพิบัติจากธรรมชาติ และจากน้ำมือมนุษย์ทุกๆ ชนิดได้ แต่ในปัจจุบัน ก็ได้มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างในหลายมิติเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติได้พอควร.
ส่วนการรับมือกับภัยระเบิดจากการก่อการร้าย ก็ได้มีมาตรการต่างๆ เช่น การสร้างกำแพงคอนกรีตหนาและสูงรอบตัวตึก การแยกอาคารจอดรถจากอาคารที่ทำงานหรือที่พำนัก การตรวจตราบุคคลและยานพาหนะที่เข้า-ออกอย่างเข้มงวด การวางเครื่องกั้นไม่ให้ยานพาหนะเข้าจอดใกล้กำแพง การสร้างกำแพงอาคารและประตู-หน้าต่างด้วยวัสดุ ที่ยืดหยุ่น และไม่แตกออกเป็นสะเก็ดที่มีคม การตกแต่งภายในอาคารก็ควรหลีกเลี่ยงเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายจากแรงระเบิดได้ เป็นต้น.
โรงพยาบาลควรจะวางแผนเผชิญภัยพิบัติ ตึกถล่ม เช่นเดียวกับภัยพิบัติทั่วไป และมีการซ้อมแผนร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ นอกโรงพยาบาล เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจและสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องไม่ซ้ำซ้อน หรือขัดแย้งกัน.
ขณะเกิดเหตุ
โรงพยาบาลควรประกาศแผนรับภัยพิบัติ และส่งรถกู้ชีพขั้นต้นและขั้นสูง พร้อมกับแพทย์และพยาบาลไปตั้ง "หน่วยพยาบาลฉุกเฉิน" ใกล้จุดเกิดเหตุ โดยสอบถามเส้นทางและสถานที่ตั้งให้ชัดเจนและปลอดภัยก่อน ถ้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องสารพิษ ให้เตรียมอุปกรณ์ป้องกันสารพิษไปด้วย (ดูเรื่องภัยพิบัติสารเคมี ในคลินิกฉบับเดือนธันวาคม 2550).
ห้องฉุกเฉินและทุกส่วนของโรงพยาบาลต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำตามแผนรับภัยพิบัติที่ได้ซ้อมกันมาก่อน.
หลังเกิดเหตุ
ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาลและชุมชนหลังภาวะภัยพิบัติ เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป.
17. ภัยพิบัติสะพานถล่ม
ภัยพิบัติสะพานถล่ม (bridge collapse disaster) หมายถึง ภาวะที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากการถล่ม/หักของสะพานข้ามลำน้ำ/ถนน/หุบเหว เป็นต้น.
สาเหตุของสะพานถล่ม
เช่นเดียวกับกรณีตึกถล่ม (หัวข้อ 16).
การบาดเจ็บจากสะพานถล่ม
ก็เช่นเดียวกับตึกถล่ม แต่สำหรับสะพานข้ามลำน้ำ จะเพิ่มการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากการจมน้ำด้วย และถ้าน้ำในบริเวณนั้นสกปรก แม้ผู้บาดเจ็บจะได้รับการกู้ชีพจนรอดจากการจมน้ำได้ แต่ก็จะล้มป่วยด้วยโรคติดเชื้อจนเสียชีวิตหรือพิการได้ ดังที่เกิดขึ้นกับสะพานคนเดิน (pedestrian/foot bridge) ข้ามแม่น้ำยาร์กอน (Yarkon River) ในอิสราเอลในการแข่งกีฬา Israeli Maccabiah Games ใน พ.ศ. 2540 ทำให้นักกีฬาตาย 4 คน (3 คนจากโรคติดเชื้อที่เกิดจากการสำลักน้ำสกปรก) และเจ็บป่วยอีกจำนวนมาก จึงต้องนึกถึงมลพิษในน้ำ และในสภาวะแวดล้อมด้วย.
(ในประเทศไทย กรณีที่โด่งดังจากอุบัติเหตุ รถตกคูข้างถนน และได้รับการกู้ชีพแล้วรอดชีวิตออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ต่อมาก็ล้มป่วยจากการสำลักน้ำสกปรกในคู ทำให้สมองติดเชื้อราจนกลายเป็นคนพิการและต้อมาเสียชีวิต คือ กรณี "บิ๊ก ดีทูบี" เป็นต้น).
ก่อนเกิดเหตุ
โรงพยาบาลควรจะวางแผนเผชิญภัยพิบัติสะพานถล่ม เช่นเดียวกับภัยพิบัติทั่วไป และมีการซ้อมร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเตรียมการล่วงหน้าสำหรับการแก้ปัญหาจราจรที่จะเกิดความสับสนและติดขัด และการเปิดเส้นทางสำหรับบุคลากรกู้ภัย/กู้ชีพ ที่จะเข้าสู่จุดเกิดเหตุ และลำเลียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปสู่โรงพยาบาล.
ขณะเกิดเหตุ
โรงพยาบาลควรจะประกาศแผนรับภัยพิบัติ เช่นเดียวกับกรณีตึกถล่ม.
หลังเกิดเหตุ
ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาลและชุมชนหลังภาวะภัยพิบัติ เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป.
18. ภัยพิบัติอุโมงค์ถล่ม/ระเบิด/ไฟไหม้
ภัยพิบัติอุโมงค์ถล่ม/ระเบิด/ไฟไหม้ (tunnel collapse/explosion/fire) หมายถึง ภาวะที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากจากเหตุการณ์ดังกล่าว.
มนุษย์ได้สร้างอุโมงค์มาตั้งแต่โบราณ (หลายพันปีก่อน) ในปัจจุบันอุโมงค์เป็นเส้นทางจราจรที่สำคัญมากอย่างหนึ่งโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน นอกจากนั้น ยังมีอุโมงค์ลอดภูเขา อุโมงค์ใต้น้ำข้ามประเทศ อุโมงค์เหมืองแร่ เป็นต้น.
สาเหตุของอุโมงค์ถล่ม
มักเกิดจากการขุดเจาะและโครงสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน การระเบิด ไฟไหม้ อุบัติภัยจราจรในอุโมงค์ เป็นต้น.
การบาดเจ็บ
ขึ้นกับเหตุการณ์ ถ้าอุโมงค์ถล่มจากการขุดเจาะและโครงสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน หรืออุบัติภัยจราจร การบาดเจ็บส่วนใหญ่จะเกิดจากการอัด (crush injuries) ส่วนในกรณีระเบิดหรือไฟไหม้ ก็จะเกิดการบาดเจ็บส่วนใหญ่จากภัยระเบิด และ/หรือไฟไหม้นั่นเอง.
ก่อนเกิดเหตุ
การวางแผนสร้างอุโมงค์ในปัจจุบัน ควรคำนึงถึงความปลอดภัยในระหว่างการสร้าง และการใช้อุโมงค์ โดยเฉพาะอุโมงค์ที่ยาวหรืออยู่ลึก ควรจะมีอุโมงค์คู่ขนาน ที่มีช่องทางและประตูเปิดติดต่อกันได้เป็นระยะ (เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในอุโมงค์ที่เกิดเหตุสามารถหลบหนีออกมาสู่อุโมงค์คู่ขนานได้) มีปล่องระบายอากาศที่เพียงพอ (เพื่อระบายควันและก๊าซพิษ และมีการถ่ายเทอากาศได้ดี) เป็นต้น.
โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้อุโมงค์ ควรมีการวางแผนร่วมกับหน่วยงานอื่นในการเผชิญภัยพิบัติและซ้อมรับมือภัยพิบัตินั้น.
ขณะเกิดเหตุ
โรงพยาบาลควรประกาศแผนรับภัยพิบัติ เช่นเดียวกับกรณีตึกถล่ม.
หลังเกิดเหตุ
ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาล และชุมชนหลังภาวะภัยพิบัติ เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป.
19. ภัยพิบัติเหมืองถล่ม
ภัยพิบัติเหมืองถล่ม (mining disaster) หมายถึง ภาวะที่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บเป็นจำนวนมากจากเหตุการณ์ดังกล่าว.
เหมืองเปิดหรือเหมืองผิวดิน คือการขุดหาแร่ และอัญมณีจากผิวดินลึกลงไปเรื่อยๆ เกิดเป็นหลุม/แอ่ง/บึง/ทะเลสาบในเวลาต่อมา ส่วนเหมืองปิดหรือเหมืองใต้ดิน คือการขุดเป็นอุโมงค์ลึกลงไปใต้ผิวดินเพื่อไปยังแหล่งแร่ใต้ผิวดิน.
เหมืองใต้ดิน (underground mine) มีอันตรายมากกว่าเหมืองผิวดิน เพราะเกิดการถล่ม/ระเบิด/ ไฟไหม้ง่ายกว่ามาก และทำการช่วยเหลือผู้ที่ติดหรือบาดเจ็บอยู่ภายในได้ยากกว่ามากด้วย.
เหมืองถ่านหิน (coal mines) ในประเทศจีน คร่าชีวิตคนงานไปประมาณ 5,000 คนใน พ.ศ. 2549 เพราะถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงราคาถูกที่มีผู้ต้องการมาก จึงมีเหมืองเถื่อน/ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เหมืองถ่านหินในประเทศจีนอันตรายที่สุดในโลก โดยประมาณว่ามีคนตาย 2 คน (จากอุบัติภัยเหมือง) ต่อถ่านหินที่ขุดได้ 1 ล้านตัน เป็น 50 เท่าของที่เกิดในสหรัฐอเมริกาและเป็น 9 เท่า ของที่เกิดในอินเดีย เป็นต้น.
อันตรายของเหมืองใต้ดิน
ในการขุดเหมืองใต้ดิน บางแห่งก็ขุดเป็นปากถ้ำ แล้วลาดลึกลงใต้ดินไปเรื่อยๆ บางแห่งต้องทำปล่อง (shaft) และกรง (cage) เพื่อนำคนและสิ่งของลงไปใต้ผิวดินเป็นร้อยเมตรจนถึงบ่อแร่ แล้วจึงขุดเจาะเป็นอุโมงค์ไปตามทางแร่ต่างๆ .
ในโพรงและอุโมงค์ส่วนใหญ่จึงมืด (ต้องใช้ไฟฉาย/ไฟฟ้า) แฉะ (จากน้ำใต้ดิน/ฝน/น้ำท่วม) เย็น ขาดออกซิเจน และเต็มไปด้วยก๊าซพิษที่มักไม่มีกลิ่น (ในสมัยก่อน คนงานจะจับนกขมิ้น (canary) ใส่กรงติดตัวลงไปด้วย เพราะนกเหล่านี้จะไวต่อก๊าซพิษมาก และแสดงอาการอย่างรวดเร็ว ทำให้หนีออกจากที่นั่นได้ทัน).
ก๊าซพิษในเหมือง ซึ่งคนเหมืองอังกฤษเรียกว่า "damp" (แผลงจากคำเยอรมัน "dampf" ที่หมายถึง หมอกควันหรือไอระเหย) เช่น
Firedamp หมายถึง ก๊าซมีเทน (methane) ซึ่งเกิดจากการสลายตัวของถ่านหินหรือสารถ่าน (carbonaceous material) ในสภาพขาดออกซิเจน ก๊าซเหล่านี้จะระเบิดในอากาศเมื่อมีความเข้มข้น 5-15% ซึ่งคนงานเหมืองจะใช้ "Davy safety lamp" ซึ่งมีเปลวไฟที่เปลี่ยนสีและสูงขึ้นเมื่อเจอก๊าซเหล่านี้เข้มข้นเพียง 1% และถ้า O2 ต่ำ ไฟจะดับ แต่ในปัจจุบันจะใช้เครื่องวัดพิเศษ (special colorimetric devices) แทน.
Blackdamp หมายถึง N2+CO2 ในความเข้มข้นที่ทำให้ขาด O2 (anoxic mixture) CO2 เกิดจากการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ของสารถ่าน ลมหายใจของคนและสัตว์ การเน่าสลายของสารอินทรีย์ และปฏิกิริยาของกรดกับหินปูน.
Chokedamp หมายถึง ส่วนผสมของก๊าซ ในเหมืองแร่อื่นๆ ที่ทำให้ขาด O2 (anoxic mixture) เช่น ส่วนผสมที่มี CO ที่เกิดจากเครื่องยนต์ การระเบิดหินและการลุกไหม้ของถ่าน/ถ่านหิน/สารถ่าน ซึ่งไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และจับกับฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงแทน O2 ทำให้อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ความดันเลือดตก ชัก หมดสติ และเสียชีวิต (ก๊าซผสมที่มี CO มาก เรียกว่า whitedamp).
Afterdamp หมายถึง ก๊าซที่เกิดขึ้นจากการระเบิด ซึ่งประกอบด้วย CO และ oxides ของไนโตรเจน ที่เมื่อหายใจเข้าไปในปอด จะกลายเป็นกรดไนตริกได้.
Stinkdamp หมายถึง ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ที่มีกลิ่นเหมือนไข่เน่า เกิดจากการสลายตัวของแร่ธาตุที่มีกำมะถันปนอยู่ หรือการระเบิดของดินระเบิดที่มีกำมะถัน (เช่น ไดนาไมต์) ทำให้หมดสติ ชัก และตายหลังจากหายใจเอาก๊าซนี้เข้าไปไม่กี่ครั้ง.
ในกรณีที่น้ำท่วมเข้าไปในเหมือง ดังที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2550 ที่บริษัทฮัวยวน (Huayuan Mining Company) ในประเทศจีน เมื่อฝนตกหนัก จนเขื่อนพัง และน้ำท่วมเข้าไปในเหมือง ทำให้คนงานเสียชีวิตไป 172 คน.
แรงดันน้ำที่ท่วมเข้าไปจะอัดอากาศที่อยู่ในโพรง จนทำให้แรงดัน N2 (nitrogen partial pressure) สูงขึ้นไปหลายเท่าตัว เกิด "nitrogen narcosis" (ทำให้เกิดอาการเหมือนคนเมาสุรา ความคิดอ่านลดลง ช้าลง โซเซเปะปะ จนหาทางออก/ทางรอดชีวิตไม่ได้ดีเท่าที่ควร) และ/หรือแรงดัน CO2 ที่เพิ่มขึ้น จนเกิด "CO2 narcosis" ทำให้หมดสติ และเสียชีวิตได้เช่นกัน (ในพื้นที่แคบระดับและแรง ดัน CO2 ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่าการขาด O2).
เมื่อเหมืองถล่ม/ระเบิด/ไฟไหม้/น้ำท่วม อันตรายที่เกิดขึ้นจึงเกิดได้จากสาเหตุต่างๆ เช่น การบาดเจ็บจากการถล่ม/ระเบิด/ไฟไหม้/จมน้ำ การได้รับก๊าซพิษ การขาด O2/น้ำ/อาหาร ความตกใจกลัว/เครียด/โดดเดี่ยว (เพราะมืดและขาดการติดต่อสื่อสาร) เป็นต้น.
ในประเทศไทย เหตุการณ์เหมืองถล่มเกิดขึ้นน้อย และไม่ค่อยเป็นภัยพิบัติ เพราะมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นการขุดหลุมลึกเพื่อหาพลอย แล้วเกิดภาวะดินถล่มทับเสียชีวิตหรือบาดเจ็บเพียง 1-2 คนเป็นส่วนใหญ่.
ก่อนเกิดเหตุ
การทำ/ขุดเหมืองแร่ควรได้รับการตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด มีปล่องและลิฟต์ขึ้นลงจากโพรงใต้ดินที่แข็งแรง มีช่องระบายและเครื่องถ่ายเทอากาศในอุโมงค์ต่างๆ อย่างเพียงพอ มีเขื่อนป้องกันน้ำท่วมเข้าไปในห้องใต้ดิน มีการสร้างอุโมงค์เพื่อขุดแร่ที่ปลอดภัย และมีอุโมงค์คู่ขนานกับทางหนีเอาตัวรอด เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือภัยในอีกอุโมงค์หนึ่ง.
เหมืองแต่ละแห่งควรมีหน่วยหาและกู้โดยเฉพาะ (mine search-and-rescue team) ซึ่งต้องได้รับการฝึกฝนให้สามารถใช้อุปกรณ์ขุดเจาะหิน/ดิน วิธีส่งสัญญาณสื่อสารกับผู้บาดเจ็บที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน อุปกรณ์ป้องกันตนเอง (personal protective equipment, PPE) รวมทั้งเครื่องหายใจ (self contained breathing apparatus, SCBA) เพื่อป้องกันสาร/ก๊าซพิษ เมื่อลงไปช่วยผู้บาดเจ็บ.
โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เหมืองขนาดใหญ่ จะต้องเตรียมแผนเผชิญภัยพิบัติร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ และฝึกซ้อมกันเป็นประจำ.
ขณะเกิดเหตุ
หน่วยหาและกู้ของเหมืองนั้นต้องรีบหาตำแหน่งที่คนงานติดอยู่ใต้ดินโดยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น อุปกรณ์สื่อสารใหม่ๆ เครื่องหาตำแหน่งสะเทือน (seismic locators), geophones เป็นต้น.
เมื่อรู้ตำแหน่ง ต้องรีบเจาะ "รูชีวิต" (survival hole) ลงไป เพื่อหย่อนสายไมโคนโฟน กล้อง และแสงไฟ ลงไปดูสภาพที่เกิดเหตุ ถ้าพบจะได้เจาะรูให้ใหญ่ขึ้น เพื่อส่งอากาศ อาหาร น้ำ และยาลงไปบรรเทาอาการของผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่ไปก่อน แล้วจึงหาทางนำผู้ที่ยังรอดชีวิตขึ้นมาสู่ผิวดินต่อไป เพื่อนำส่งโรงพยาบาล โดยรถพยาบาลฉุกเฉินที่มีอุปกรณ์กู้ชีพครบถ้วน (หรือในกรณีที่เหมืองอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อาจต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ในการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแทน).
หลังเกิดเหตุ
ควรดำเนินตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาลและชุมชนหลังภาวะภัยพิบัติ เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป.
20. ภัยพิบัติ "ดาวถล่ม"
ภัยพิบัติ "ดาวถล่ม" ("impactors" disaster) หมายถึง ภัยพิบัติจาก "ดาวหาง" (comets) "ดาวเคราะห์น้อย" (asteroids) "ดาวตก" (meteoroids) หรืออุกกาบาตและขยะอวกาศ (orbital debris) เช่น ดาวเทียม จรวดอวกาศ ยานอวกาศ เป็นต้น.
อันตรายจากดาวถล่ม
"ดาวถล่ม" ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 50 เมตร จะเผาไหม้หมดเมื่อตกผ่านบรรยากาศโลก "ดาวตก" (meteoroids) ที่เผาไหม้จะเห็นเป็น "ดาวตก" หรือ "ผีพุ่งใต้" ในยามกลางคืน อันที่จริงจะมี "วัตถุอวกาศ" (cosmic material) ตกเข้ามาในโลกประมาณ 100 ตันต่อวันในสภาพของฝุ่น (tiny dust particles).
เชื่อกันว่า "ดาวถล่ม" ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 เมตร ได้ลุกไหม้และระเบิดกลางอากาศ ประมาณ 8 กิโลเมตร เหนือป่าแห่งหนึ่งใน Tunguska ในไซบีเรีย (Siberia) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2451 ทำให้ต้นไม้ไหม้และยืนต้นตายเป็นบริเวณกว้างหลายร้อยตารางกิโลเมตร.
"ดาวถล่ม" ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 กิโลเมตร จะทำให้เกิดหลุมใหญ่ (crater) ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 กิโลเมตร และจะทำให้เกิดไฟไหม้ โดยรอบหลุมหลายร้อยกิโลเมตร ทำให้ฝุ่นกระจายขึ้นสู่ชั้น stratosphere จนบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้โลกเย็นและมืดลง อาจทำลายชั้นโอโซนได้ ถ้าตกลงในมหาสมุทร จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ (tsunamis) ได้.
ใน พ.ศ. 2537 เมื่อดาวหาง Shoemaker-Levy 9 ชนดาวพฤหัสบดี (Jupiter) ชิ้นส่วนของดาวหางประมาณ 20 ชิ้นที่กระแทกดาวพฤหัสบดีจนเรามองเห็นได้จากโลกของเรา น่าจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์ กลาง 1-2 กิโลเมตร.
"ดาวถล่ม" ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 กิโลเมตร จะทำให้เกิดหลุมยักษ์ (giant crater) ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยกิโลเมตรได้ เกิดพายุไฟไหม้โลก (global fire storms) เกิดฝุ่นหนาทึบในบรรยากาศจนโลกมืดและหนาวจัด (impact winter) เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ได้ทั่วโลก คล้ายกับที่เชื่อกันว่าเคยเกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีก่อน จนทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์.
ส่วนประกอบของดาวถล่ม
ส่วนประกอบของ "ดาวถล่ม" ก็มีความสำคัญ ถ้าเป็นก้อนน้ำแข็งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 540 เมตรขึ้นไป ก้อนหิน 330 เมตรขึ้นไป หรือก้อนเหล็ก 200 เมตรขึ้นไป มักจะแตกออกเมื่อลุกไหม้ในบรรยากาศ โลก เพราะความร้อนและแรงเสียดสีจะทำให้ก้อนเหล่านี้แบนออกมีขนาดกว้างเป็น 10-25 เท่าของความกว้างเดิม แต่บางลงมาก จึงแตกออกเป็นชิ้นส่วนที่เล็กลง และขนาดของหลุมที่เกิดขึ้นจากแรงกระแทกจะขึ้นกับขนาด ความเร็ว และมุมที่ตกกระทบ.
มีผู้คำนวณว่า หลุมใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 กิโลเมตรที่มีชื่อว่า Puchezh-Katunky crater ในรัสเซีย เกิดจากก้อนหิน (rocky asteroid) ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 กิโลเมตร วิ่งด้วยความเร็ว 20 กม./วินาที และกระทบพื้นโลกเป็นมุม 45o ทำให้ผิวดินถูกทำลายลึกลงไป 100 เมตร เป็นบริเวณกว้าง 40 กิโลเมตร โดยรอบจุดกระทบ.
โอกาสที่จะเกิดดาวถล่ม
"ดาวถล่ม" ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง > 50 เมตร จะตกถึงพื้นโลกประมาณ 1 ครั้งทุก 100 ปี แต่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง > 1 กิโลเมตร จะเกิดประมาณ 1 ครั้งทุก 2-3 แสนปี ส่วนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 กิโลเมตร จะเกิดประมาณ 1 ครั้งทุก 5 แสนปี.
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ "ดาวถล่ม" จะก่อให้เกิดอันตรายต่อคนได้ อาจน้อยกว่าโอกาสที่คนๆ หนึ่งจะถูกฟ้าผ่าใน 1 ปี ประมาณ 10-100 เท่า จึงไม่ควรจะตกใจกับข่าว "ดาวถล่ม" ต่างๆ .
ก่อนเกิดเหตุ
ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับอวกาศ เช่น องค์การนาซา (NASA, National Aeronautics and Space Administration) ของสหรัฐอเมริกากำลังติดตาม "สิ่งใกล้โลก" (NEOs, near-Earth objects) หรือวัตถุที่โคจรภายใน 93 ล้านไมล์จากโลกของเรา โดยเฉพาะวัตถุที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง > 1 กิโลเมตร เพื่อจะสามารถคาดคะเน และติดตามการโคจรของวัตถุเหล่านี้ว่าจะตกสู่โลกของเราหรือไม่ เมื่อใด และจะแก้ไขได้อย่างไร.
ส่วนโรงพยาบาลคงวางแผนรับภัยพิบัติ "ดาวถล่ม" เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป โดยเพิ่มส่วนที่จะทำให้ประชาชนไม่ตื่นกลัวกับข่าว "ดาวถล่ม" จนเกินควรด้วย.
ขณะเกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือชำนาญเกี่ยวกับ "ดาวถล่ม" ควรออกสำรวจพื้นที่และพิษภัยของสิ่งที่ตกลงมานั้น โดยทั่วไปชิ้นส่วนของ "ดาวถล่ม" ที่มาจากดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย และดาวตก มักจะเป็นก้อนหิน หรือโลหะที่ไหม้จนหลอมละลาย และไม่มีความเสี่ยงในเรื่องพิษภัยจากสารเคมีหรือกัมมันตภาพรังสี.
แต่ขยะอวกาศ จากน้ำมือมนุษย์ อาจมีสารเคมีที่เป็นพิษ และสารกัมมันตภาพรังสีที่ใช้ในอุปกรณ์ ต่างๆ ปะปนลงมาด้วย.
บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล จึงควรเข้าสู่จุดเกิดเหตุหลังจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบสภาพจนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว.
การกู้ชีพ การเคลื่อนย้าย และการรักษาพยาบาล จะเป็นเช่นเดียวกับผู้บาดเจ็บอื่นๆ.
หลังเกิดเหตุ
ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาลและชุมชน หลังภาวะภัยพิบัติ เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล