ถาม ผู้ป่วยหญิง กิน low dose contraceptive pills (E.E. 20 mcg) จนอายุ 52 ปี ไม่อยากหยุดกิน ด้วยเหตุต้องการไม่ให้มีอาการที่เกี่ยวข้องกับ menopause เช่น ร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง จะมีข้อเสียอะไรหรือไม่ ถ้าผู้ป่วยขอปรึกษาจะกินยาต่อจนอายุ 55 ปี. Low dose pill จะป้องกัน bone loss ได้เท่ากับ conventional HRT หรือไม่ จะมีความเสี่ยงเหมือนการกิน HRT ทั่วไปหรือไม่.
ตอบ การใช้ low dose contraceptive pills (E.E. 20 mcg) ในสตรีวัยเจริญพันธุ์ อาจจะขยายเวลาใช้ต่อได้จนถึงวัยก่อนหมดประจำเดือนหรือวัย perimenopause เนื่องจากยารุ่นใหม่ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันเอสโตรเจนที่ประกอบอยู่ใน oral contraceptive pills มีขนาดลดต่ำลงเรื่อยๆ ต่ำสุดในปัจจุบันคือ ขนาด E.E. 20 mcg.
ผลจากการวิจัยที่ผ่านมา ใช้ oral contraceptive pills ในสตรีวัยหมดประจำเดือน เปรียบเทียบกับ conventional HRT เพื่อป้องกัน bone loss และรักษา climacteric symptoms พบว่าได้ผลดีใกล้เคียงกัน แต่การวิจัยที่ผ่านมาทำการวิจัยระยะสั้นส่วนใหญ่ 6 เดือน-1 ปี.
ในทางปฏิบัติจะแนะนำว่า ไม่ควรนำ low dose contraceptive pills มารักษาผู้ป่วยสตรีวัยหมดประจำเดือนแทน conventional HRT เนื่องจาก E.E. ที่ประกอบอยู่ใน oral contraceptive pills มี potency สูงกว่า natural estrogen มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง conjugated equine estrogen ซึ่งเป็น natural estrogen ที่สกัดมาจากปัสสาวะของม้าที่ตั้งครรภ์ และใช้มาเป็นเวลานาน โดยที่ E.E. ใน oral contraceptive pills มี potency สูงกว่า conjugated equine estrogen ประมาณ 100 เท่า. ดังนั้น E.E. ที่ประกอบอยู่ใน oral contraceptive pills ขนาดที่ใช้จะสูงมากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิด thromboembolism ได้ ถ้าหากต้องใช้ยาชนิดนี้เป็นเวลานาน.
แสงชัย พฤทธิพันธุ์ พ.บ.
ศาสตราจารย์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
การช่วยเหลือผู้ป่วยแพ้ยาที่คลินิกเพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้อง
ถาม กรณีผู้ป่วยแพ้ยาที่ได้จากคลินิกโดยไม่มีประวัติการแพ้ยามาก่อน เมื่อกลับมาที่คลินิก แพทย์ที่คลินิกควรจะทำอย่างไรจึงจะถือว่าได้ช่วยเหลือผู้ป่วยเต็มที่แล้ว (ป้องกันการถูกฟ้องร้อง) เช่น เมื่อมีอาการดูเหมือนจะรุนแรงเป็น Steven Johnsons Syndrome แพทย์ควรฉีด dexamethasone ทันที แล้วรีบส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันทีหรือไม่ หรือควรจะทำอะไรมากกว่านี้ จึงจะเหมาะสมและถูกต้องที่สุด.
ตอบ การที่ผู้ป่วยแพ้ยาจากคลินิกโดยไม่มีประวัติแพ้ยามาก่อน เมื่อผู้ป่วยกลับมาหาแพทย์ ถ้าแพทย์เห็นว่า การแพ้ดูจะรุนแรง เช่น Steven Johnsons Syndrome ควรต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบทันที พร้อมทั้งอธิบายความรุนแรงให้ผู้ป่วยทราบ พร้อมทั้งบอกชื่อยาที่แพทย์ให้ อาจต้องจดชื่อยาให้ผู้ป่วยเก็บไว้ แล้วแนะนำให้ผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว ถ้าเราจะให้การรักษาอะไรไปก่อน ในกรณีที่เราทำได้ ก็ควรทำแล้วเขียนใบส่งตัวผู้ป่วยให้ชัดเจน โดยบอกประวัติการที่ผู้ป่วยได้รับยาอะไร รวมทั้งการรักษาที่เราให้ไปก่อนแล้วด้วย. ส่วนเราจะต้องฉีด dexamethasone ทันทีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมาตรฐานทางเวชปฏิบัติขณะนั้น ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลา และสถานภาพของคลินิกแต่ละแห่ง.
ข้อสำคัญต้องอธิบายความร้ายแรงแต่ละอาการที่ผู้ป่วยแพ้ให้ผู้ป่วยเข้าใจตั้งแต่แรก และต้องแสดงความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเขาให้ได้ดีที่สุดอย่างจริงใจ.
การกระทำดังกล่าว น่าจะเป็นเกราะป้องกัน การถูกฟ้องร้องได้เป็นอย่างดีครับ แต่อย่างไรเสียถ้าผู้ป่วยต้องการฟ้องร้องจริงๆ เราคงห้ามไม่ได้ แต่การแพ้ยาโดยไม่ทราบประวัติล่วงหน้านั้น มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อ แพทย์ไม่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวการถูกฟ้องจนเกินเหตุ.
วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ พ.บ.,
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ
มหาวิทยาลัยมหิดล
บรรณาธิการ
สุรางค์ เจียมจรรยา พ.บ.
ศาสตราจารย์, ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล