ในโลกนี้มีแนวคิดสองค่ายเกี่ยวกับชนิดแพทย์ในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ค่ายแองโกล-อเมริกัน เชื่อว่า แพทย์เฉพาะทางด้านการแพทย์ฉุกเฉิน (บ้านเราเรียกว่า แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน) เป็นวิชาชีพที่จำเป็น จึงมีการผลิตต่อยอดจากระดับปริญญาเหมือนแพทย์เฉพาะทางด้านอื่น. ประเทศไทยเพิ่งนำแนวคิดนี้มาใช้และผลิตแพทย์สาขานี้แล้วเกือบ 200 รายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยเนื้อหาหลักสูตรมุ่งผลิตแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินให้สามารถให้บริการรักษาพยาบาลทั้งในและนอกโรงพยาบาล อีกทั้งยังทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง1 อันเป็นบทบาทที่สอดคล้องอย่างยิ่งกับ ความต้องการบูรณาการบริการสาขาต่างๆ ของผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งที่ผ่านมา ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลตกอยู่ในสภาพที่ไม่ได้รับความสำคัญจากบุคลากรสาขาต่างๆ จนได้ชื่อว่า" no man's land " ยิ่งเมื่อคำนึงถึงบริการกพฉ.ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการสาธารณภัยซึ่งต้องอาศัยความ ร่วมมือหลายสาขา (multisectoral) การประสานงานจึงเป็นหัวใจสำคัญ.
ในความเป็นจริง อย่างน้อยผู้แทนโรงพยาบาล 9 แห่งจากสี่ภาคของประเทศ2 อันประกอบด้วยทั้งแพทย์และพยาบาลล้วนมีเสียงเป็นเอกฉันท์ว่า แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินช่วยให้งานห้องฉุกเฉินได้รับความสนใจและความสำคัญ (ในรูปของการจัดสรรคนและครุภัณฑ์)เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดโดยผ่านบทบาทประสานงานนั่นเอง ในขณะเดียวกันปรากฏการณ์ " ตกเขียว " แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินโดยโรงพยาบาลเอกชนก็สะท้อนความต้องการในสายตาของภาคเอกชนที่ผู้สันทัดกรณีหลายท่าน ให้ข้อสังเกตว่า น่าจะมุ่งหวังเพื่อป้องกันการฟ้องร้อง โดยเชื่อว่าแพทย์พันธุ์ใหม่มีขีดความสามารถมากพอที่จะลดความผิดพลาดในการให้บริการที่ห้องฉุกเฉิน.
อีกค่ายหนึ่งคือ ฟรังโก-เยอรมัน เชื่อว่า การต่อยอดความรู้แก่แพทย์ทุกสาขาที่มีอยู่โดยเฉพาะด้านศัลยกรรม อายุรกรรม วิสัญญี ซึ่งทำงานด้านนี้มากกว่าใคร ก็เพียงพอที่จะรับมือกับความต้องการบริการ กพฉ.3 ตามแนวคิดนี้ปฏิบัติการนอกโรงพยาบาลเป็นไปอย่างเข้มข้นโดยแพทย์ที่รับผิดชอบ (มักเป็นวิสัญญีแพทย์) ตรงกันข้ามกับแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินของสหรัฐฯ. ซึ่งเน้นตั้งรับในโรงพยาบาลและคอยกำกับการให้บริการของพนักงานกู้ชีพระหว่างนำส่งและ ณ จุดเกิดเหตุ.4
ในอดีต แม้ไม่มีแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินในประเทศไทย แพทย์ไทยที่ทำงานด้านกพฉ.ก็เน้นการตั้งรับในโรงพยาบาลเหมือนแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินในสหรัฐฯ แต่ไม่มีการกำกับดูแลการปฏิบัติของบุคลากร ที่ปฏิบัติงานนอกโรงพยาบาลแน่นอนชัดเจนเหมือนของสหรัฐฯ
รายงานผลการประเมิน ณ พ.ศ. 2551 พบว่า หลังจากเริ่มลงทุนพัฒนาศูนย์อุบัติเหตุในปี พ.ศ. 2547 อัตราป่วยตายด้วยการบาดเจ็บจากภัยจราจรคงที่ ในขณะที่อัตราป่วยตายด้วยการบาดเจ็บชนิดอื่นมีแนวโน้มลดลง5 ถ้าปรากฏการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการบาดเจ็บ ก็อนุมานได้ว่า แนวโน้มที่ลดลงเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดจากผลงานของแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินซึ่งยังมีสัดส่วนน้อยมากเนื่องจากเพิ่งเริ่มผลิต อย่างไรก็ตามมีหลักฐานสนับสนุนว่า แพทย์ไทยที่มีผลงานด้านกพฉ.จนเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลกและไจก้า คือ นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัยและคณะ สามารถชี้นำการพัฒนากพฉ.จนเกิดผลงานที่มีมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ ในระดับพนักงานกู้ชีพ และอัตราป่วยตายของ ผู้บาดเจ็บทางสมองก็ลดลง.6
ถ้าเชื่อว่า คน คือทรัพยากรที่ล้ำค่ามากที่สุดใน ทุกองค์กร การพัฒนากำลังคนด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ที่ผ่านมา ล้วนเป็นผลงานในยุคก่อนมีสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2551 มรดกที่สพฉ.รับมาจะถูกสานต่ออย่างไรจึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ.
เป็นที่น่ายินดีว่า 1 ใน 5 ยุทธศาสตร์การพัฒนาบริการกพฉ.โดยสพฉ.เตรียมเสนอข้ออนุมัติจาก คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน7 ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านบริการการแพทย์ฉุกเฉินให้มีคุณภาพในจำนวนที่เพียงพอ และมีเป้าหมายรองรับแน่ชัด 2 ใน 3 ประการ ระหว่างปี พ.ศ. 2552-2555 โดยระบุไว้ชัดเจนว่า ก) " มีแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน.อย่างน้อย จังหวัดละ 2 คน " และ ข) "ร้อยละของบุคลากรประเภทต่างๆ ในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่มีคุณภาพและจำนวนเพียงพอตามมาตรฐาน (แพทย์ พยาบาล และนักปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินฯ"
.
ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะได้แก่ จำนวนงบประมาณที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องนับแต่สพฉ. รับภารกิจนี้มาจากสปสช. และลำดับความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณที่มีจำกัดในปีแรกยังคงอยู่ที่การซื้อบริการนำส่งโรงพยาบาลเป็นหลัก จนแทบจะไม่มีเงินจัดสรรให้กับภารกิจด้านการพัฒนาคุณภาพ บริการ ระบบสนับสนุนบริการ และกำลังคน.
1หลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน ปีพ.ศ.2551 http://www.slideshare.net/taem/2551?type=document [3] accessed June 17, 2009
2การประชุมชี้แจงการวิจัยด้านการบาดเจ็บและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดบริการด้านการบาดเจ็บที่สำนักงานวิจัยหลักประกันสุขภาพไทย(สวปก.) 12 มิถุนายน 2552
3M Sakr, J Wardrope Casualty, accident and emergency, or emergency medicine, the evolution. J Accid Emerg Med 2000;17:314-319
4Tamara L. Thomas. Developing and Implementing Emergency Medicine Programs Globally Emerg Med Clin N Am 23 (2005) 177-197
5สัมฤทธิ์ และคณะ รายงานประเมินผลการลงทุนบริการตติยภูมิ โดยสปสช. 2551
6วิทยา ชาติบัญชาชัย Trauma quality improvement program. Khon Kaen Regional Hospital. นำเสนอต่อที่ประชุม สำนักงานวิจัยหลักประกันสุขภาพไทย 16 เมษายน 2552
7นายแพทย์ชาตรี เจริญชีวะกุล "ร่าง" แผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉิน 4 ปี