• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

น้ำปัสสาวะรักษาโรคได้จริงหรือ?

ในช่วงหลายปีมานี้ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เปิดเผยตัวเองว่า ดื่ม น้ำปัสสาวะเป็นประจำแล้วรู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้น ในหลายประเทศก็มีกระแสตื่นตัวในเรื่องนี้จนมีการกล่าวอ้างกันว่า

ในปัจจุบันมีผู้คนทั่วโลกนับล้านๆคนที่ปฏิบัติใน เรื่องนี้ มานำเสนอให้ได้รับทราบกัน ในที่นี้จึงใคร่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ และทัศนะของผู้คนที่เห็นด้วย และไม่เห็น ด้วยกับเรื่องนี้

- ความเชื่อแต่โบราณ
มีบันทึกนับย้อนหลังนานนับพันปี ว่าตำรับยาโบราณในประเทศจีนและอินเดีย มีการใช้น้ำปัสสาวะเด็กมาทำเป็นยากระสายหรือตัวละลายยา
ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุก็มีการใช้น้ำปัสสาวะ(น้ำมูตร) ดอง ลูกสมอหรือมะขามป้อมไว้ฉันเป็นยารักษาโรค
ในวัฒนธรรมกรีกและโรมัน ก็มีบันทึกว่ามีการใช้น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรค
 
ในสารานุกรมที่ตีพิมพ์ในเยอรมนีเมื่อปี ๒๓๙๐ ก็มีการกล่าวถึงสูตรยาผสมน้ำปัสสาวะ ใช้ทารักษาอาการผมร่วง ใช้หยอดตารักษาอาการเจ็บตา ใช้กลั้วคอแก้อาการเจ็บคอ ใช้ดื่มรักษาโรคดีซ่าน เป็นต้น
ความเชื่อของคนไทยแต่โบราณก็มีในทำนองเดียวกันที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน และมีการปฏิบัติกันอยู่ในคนบางกลุ่ม เช่น การใช้ผ้าอ้อมชุบน้ำปัสสาวะเด็กแล้วกวาดลิ้นเด็กเพื่อแก้อาการฝ้าขาว, ใช้น้ำปัสสาวะทาหรือปัสสาวะรดบริเวณแผลที่ถูกแมลงต่อย เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ก็ค่อยๆจางหายไป ท่ามกลางความก้าวหน้าทางวิทยาการแผนใหม่ หากมีใครกล่าวอ้างว่า น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรค ผู้คนก็จะมองว่าเป็นสิ่งสกปรก ไร้สาระ
- กระแสความเชื่อยุคโลกาภิวัตน์
แล้วอยู่ๆทำไมจึงเกิดกระแสนิยมระลอกใหม่เกิดขึ้นในช่วงนี้กันเล่า
นับย้อนหลังเมื่อปี ๒๕๒๐ ท่านนายกรัฐมนตรีของอินเดียในขณะนั้น ที่มีชื่อว่าโมราลจี เดซาย วัย ๘๑ ปี ประกาศว่า ท่านได้ดื่มน้ำปัสสาวะบำรุงสุขภาพ มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และญาติพี่น้องของท่านก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน

ท่านผู้นี้ได้มีอายุยืนยาวต่อมาอีกหลายปี และได้ให้การสนับสนุนแก่ขบวนการรณรงค์ดื่มน้ำปัสสาวะ เพื่อสุขภาพ ท่านมีอายุ ๙๙ ปี (ถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๓๘)
ในวงการดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อสุขภาพ หรือ “ปัสสาวะบำบัด” (urine therapy) ทั่วโลกจึงยกท่านเป็นตัวอย่าง และถือว่าท่านเป็นบิดาแห่งวงการปัสสาวะบำบัดในยุคโลกาภิวัตน์

ต่อมาในปี ๒๕๓๕ มีนายแพทย์อาวุโส(อายุ ๘๐ ปี)ชาวญี่ปุ่น ชื่อนายแพทย์เรียวอิจิ นากาโอะ ผู้ซึ่งสนใจศึกษาค้นคว้าเรื่องปัสสาวะบำบัด ได้เดินทางมาเผยแพร่ที่กรุงเทพฯ ยืนยันว่า น้ำปัสสาวะเป็นยาวิเศษ การดื่มน้ำปัสสาวะตนเองสามารถรักษาโรคได้สารพัด รวมทั้งโรคยากๆ เช่น มะเร็งและโรคเอดส์ ทำให้กลายเป็นข่าวเกรียวกราวในสังคมอยู่พักใหญ่ และมีการโต้แย้งอย่างคึกคักระหว่างฝ่ายที่เชื่อกับฝ่ายที่ไม่เชื่อ

ในปัจจุบัน ถ้าเปิดอินเตอร์เนต จะพบข้อมูลเกี่ยวกับปัสสาะบำบัดอยู่มากมาย โดยจัดอยู่ในแขนงหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “การแพทย์ทางเลือก” (alternative medicine) อันหมายถึงระบบการแพทย์ที่อยู่นอกระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่กว่า ๒๐๐ แขนงด้วยกัน (เช่น เรื่องของแม็กโครไบโอติกส์ การฝังเข็ม โยคะ สมุนไพร พลังจักรวาล การสัมผัสรักษา โรค เป็นต้น)

มีการกล่าวอ้างกันว่า ในปัจจุบันมีผู้ที่หันมาปฏิบัติในเรื่องปัสสาะบำบัดเป็นประจำอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น(กล่าวว่ามีอยู่ ๒ ล้านคน), เยอรมนี(๕ ล้านคน), สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น

มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งไทยและเทศ ตีพิมพ์ออกมาเผยแพร่อยู่หลายเล่ม ซึ่งกล่าวอ้างว่า ปัสสาวะเป็นยามหัศจรรย์ สามารถรักษาโรคได้สารพัด ตั้งแต่อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย(เช่น ตาอักเสบ บาดแผลไฟไหม้ ฟกช้ำดำเขียว โรคแพ้อากาศ โรคเชื้อราที่ผิวหนัง โรคหืด ฯลฯ) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถเอาชนะโรคหวัดเรื้อรัง ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ โรคกระเพาะ จน กระทั่งสามารถรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคหืด โรคหัวใจ วัณโรค หรือโรคร้าย เช่น มะเร็ง และเอดส์ได้
หนังสือเหล่านี้ได้ยกตัวอย่างผู้คนที่หายจากโรค ด้วยการดื่มน้ำปัสสาวะตนเอง ทำให้น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง นอกจากนี้ มีหลายประเทศได้มีการประชุมสัมมนาระดับชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อปี ๒๕๓๙ และมีการประชุมนานาชาติว่าด้วยปัสสาวะบำบัดเป็นครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย มีผู้เข้าประชุม(รวมทั้งแพทย์แผนปัจจุบันบางท่าน)ร่วม ๖๐๐ คน และกลางปีนี้จะมีการประชุมนานาชาติครั้งที่ ๒ ที่ประเทศเยอรมนี

ท่ามกลางกระแสนิยมนี้ ก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เชื่อและหันมาลงมือปฏิบัติในเรื่องนี้ ดังคำให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆในหนังสือ “สิ่งมหัศจรรย์ แห่งยุคสมัย” ของคุณมานพ อุดมเดช และในหมอชาวบ้านฉบับนี้ 

- ความเชื่อที่ยังหาข้อยุติไม่ได้
เฉกเช่น กระแสนิยมในเรื่องชีวจิต และพลังจักรวาลที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมา การดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อสุขภาพ(ปัสสาวะบำบัด) ก็ยังเป็นเรื่องที่โต้เถียงขัดแย้งไม่มีข้อยุติ

ในที่นี้ขอนำทัศนะของ ๒ ฝ่าย มาสรุปเปรียบเทียบให้เห็น
ฝ่ายที่เชื่อในเรื่องนี้ มีข้อสรุปดังต่อไปนี้
๑. น้ำปัสสาวะเป็นของสะอาด มีสารประกอบนับ ร้อยชนิด ทั้งเกลือแร่ ฮอร์โมน เอนไซม์ สารต้านทานโรค(เช่น อินเตอร์เฟรอน)ที่กลั่นมาจากเลือด จึงไม่มีพิษต่อร่างกาย สามารถใช้ดื่ม หยอดตา หยอดจมูก บ้วนปาก ทานวด รักษาโรคได้แทบทุกระบบ รวมทั้งเป็นยาอายุวัฒนะ ใช้บำรุงสุขภาพของคนปกติทั่วไป
๒. มีความเชื่อและสมมติฐานว่า น้ำปัสสาวะมีสารต่างๆที่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ แม้ว่าสารเหล่านี้จะมีเจือจาง แต่ดื่มเข้าไปแล้วจะเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการปรับดุลจนสามารถเยียวยารักษาโรคที่มีอยู่ในร่างกายได้
๓. มีตัวอย่างของคนไข้มากมายที่หายจากโรคต่างๆ ยืนยันถึงประสิทธิผลของน้ำปัสสาวะให้เห็นจริงๆ ๔. น้ำปัสสาวะเป็นยาราคาถูกที่สุดในโลก(ไม่ต้องซื้อต้องหา) ผู้คนสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย ไม่ต้องให้หมอสั่งหรือตรวจรักษา จึงเป็นวิธีการที่ช่วยให้ประชาชนพึ่งตนเองได้อย่างเต็มที่
๕. ทราบดีว่ามีข้ออ่อน คือยังขาดการทดลองวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ในการยืนยันผลดีของปัสสาวะบำบัด จึงมีความพยายามจะหาทางพิสูจน์ในเรื่องนี้ต่อไป โดยหลายประเทศได้มีการตั้งศูนย์วิจัยในเรื่องนี้กันแล้ว

ส่วนฝ่ายที่ยังไม่เชื่อ หรือมีความกังขาในเรื่องนี้ ก็มีข้อสรุปได้ดังนี้
๑. ยอมรับว่าน้ำปัสสาวะของคนปกติทั่วไป มีสารต่างๆที่ออกมาจากเลือด ไม่มีเชื้อโรคเจือปน(ซึ่งแตกต่างจากอุจจาระที่มีเชื้อโรคอยู่มากมาย) ยกเว้นในรายที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ก็จะมีเชื้อโรคอยู่ ดังนั้น การดื่มน้ำปัสสาวะของคนปกติทั่วไปจึงไม่มีอันตรายต่อร่างกาย (หากไม่รู้สึกรังเกียจ ว่าเป็นสิ่งขับถ่าย)
๒. แต่สารต่างๆในน้ำปัสสาวะ แม้แต่สารต้าน- ทานโรค(เช่น อินเตอร์เฟรอน ดังที่กล่าวอ้าง)นั้น ก็มีปริมาณที่เจือจางมาก ยังน้อยกว่าที่มีอยู่ในเลือด ดังนั้นการดื่มน้ำปัสสาวะกลับเข้าไปในร่างกาย จึงไม่น่าจะมีผลต่อการบำบัดรักษาโรค ส่วนความเชื่อหรือสมมติฐานที่นักปัสสาวะบำบัดสันนิษฐานกันนั้น ยังเป็นเพียงความเชื่อ ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นความจริง
๓. ตัวอย่างคนไข้ที่เล่าขานกันนั้นอาจหายจากโรคจริง แต่ก็ไม่มีน้ำหนักพอเพียงที่จะบอกว่าหายเพราะผลของการบำบัดด้วยน้ำปัสสาวะ

การหายของโรค หรือความรู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้นนั้น อาจเป็นผลมาจากจิตใจ(พลังจิต) ซึ่งวงการแพทย์ ยอมรับว่าเป็นปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพอยู่ไม่น้อย พลังจิตนั้นอาจมาจากการฝึกสมาธิ การมองในเชิงบวก การปลุกเร้าจิตใจตัวเอง ความศรัทธาต่อวิธีการ (พิธีกรรม)อะไรบางอย่าง
 
วงการแพทย์มีคำว่า “ผลยาหลอก” (placebo effect) ซึ่งหมายถึง การให้คนไข้กินยาหลอกๆ แต่ถ้าเชื่อว่าเป็นยาจริงๆ ก็ทำให้เกิดพลังจิตกล้าแข็ง ทำให้โรคทุเลา หรือหายได้

นอกจากนี้คนไข้บางคนอาจมีการรักษาโดยวิธีอื่นร่วมกันไป การหายของโรคจึงบอกไม่ได้ชัดว่ามาจากปัสสาวะบำบัดโดยตรงเพียงอย่างเดียว
กลุ่มคนที่มีจิตใจแก่กล้าถึงขั้นลงมือดื่มปัสสาวะ(ที่คนทั่วไปขยะแขยง)ได้นั้น ย่อมเป็นผู้ที่มีความสำนึกในเรื่องสุขภาพสูง มักมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐาน เช่น ออกกำลังกาย ทำสมาธิ กินอาหารสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืน ฯลฯ จึงเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีเป็นทุนเดิม การที่ดื่มน้ำปัสสาวะแล้วรู้สึกว่าสุขภาพดีนั้น อาจเป็นเพียงอุปาทานเท่านั้นเอง

๔. หนทางที่จะทำให้เกิดการยอมรับในเรื่องปัสสาวะบำบัด(รวมทั้งการแพทย์ทางเลือกอื่นๆ)นั้น อยู่ที่ต้องหาทางพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ตามแบบการทดลองยาของแพทย์แผนปัจจุบัน มิใช่พิจารณาจากกรณีคนไข้เฉพาะรายเพียงไม่กี่คน
 
ซึ่งเรื่องนี้คงต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจได้ร่วมกันศึกษาวิจัยจนพิสูจน์ให้ได้ชัดเจน บางครั้งคำตอบอาจบอกว่า ปัสสาวะบำบัดมีประโยชน์ในบางแง่มุม และความเชื่อในบางด้านก็อาจเป็นความเท็จก็ได้ 

- ทิ้งท้ายให้คิด
เรื่องนี้ก็เฉกเช่น เรื่องชีวจิต พลังจักรวาล และการแพทย์ทางเลือกต่างๆที่ต้องอาศัยการไตร่ตรองอย่างมีวิจารณญาณ ต้องใช้หลักกาลามสูตร(ที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ) จนกว่าจะมีการพิสูจน์ยืนยันจากข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน
การดูแลสุขภาพในคนปกติทั่วไป ยังต้องอาศัยพฤติกรรมสุขภาพหลายๆด้านประกอบกัน มิใช่พึ่งพาวิธีการอันใดอันหนึ่งเพียงอย่างเดียว
 
ตัวอย่างผู้ดื่มน้ำปัสสาวะ
คุณจุลจิลา คณฑา
อายุ ๓๒ ปี ครูพิเศษโรงเรียนสัมมาสิกขา สันติอโศก

ดิฉันดื่มน้ำปัสสาวะมาประมาณ ๗ ปีค่ะ สาเหตุที่ดื่มคือ ก่อนหน้านั้นดิฉันเป็นเนื้องอกที่เต้านม ไปผ่าตัดมาแล้ว แต่ปรากฏว่ามันเริ่มมีก้อนเนื้องอกขึ้นมาอีก หลังจากผ่าตัดครั้งแรกไม่ถึงปี มีคนแนะนำให้ดื่มน้ำปัสสาวะ ซึ่งโดยส่วนตัวก็เชื่อว่าน่าจะดี เพราะพระในสมัยพุทธกาลท่านก็ฉันน้ำปัสสาวะเป็นยา จึงทดลองดื่มในช่วงเช้าตอนตื่นนอน วันละ ๑-๒ แก้ว ซึ่งใหม่ๆก็ดื่มยากเหมือนกันนะคะ ดิฉันเองอาเจียนแล้วอาเจียนอีก และมีอาการปวดหัวอยู่หลายวัน ซึ่งตรงนี้ก็พอทราบอยู่บ้างว่าเป็นอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้สำหรับผู้ที่เริ่มดื่มใหม่ๆ ก็เลยไม่กังวล
 
ดิฉันดื่มตอนเช้าวันละ ๑-๒ แก้ว รสชาติของน้ำปัสสาวะนี่ก็ไม่ซ้ำกันนะคะ แล้วแต่อาหารที่กินและการดื่มน้ำค่ะ ถ้าอาหารรสจัด น้ำปัสสาวะก็จะเข้มข้น หรือถ้าดื่มน้ำมากน้ำปัสสาวะก็จะใสเหมือนน้ำซึ่งจะดื่มง่ายกว่า
พอดื่มไปได้สักประมาณ ๕ เดือน ปรากฏว่าก้อนเนื้อที่เริ่มจะขึ้นมาใหม่มันหายไป ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะหายจริงไหม ดิฉันเลยไปให้หมอที่โรงพยาบาลศิริราชตรวจอีกครั้ง หมอก็บอกว่าคลำไม่พบก้อนอะไรเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งดิฉันก็จะไปหาหมออยู่ทุกๆ ๖ เดือน และถึงแม้จะหายแล้วดิฉันก็จะดื่มน้ำปัสสาวะไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าปฏิบัติเป็นประจำจนเคยชินแล้วค่ะ อีกอย่างที่รู้สึกได้คือการดื่มน้ำปัสสาวะทำให้เป็นคนใจเย็นขึ้นมาก

คุณยายบุญช่วย จูตะกานนท์ อายุ ๗๘ ปี

ความที่อ่านหนังสือมาเยอะนะคะ ยายก็รู้ว่าน้ำปัสสาวะนี่ดีมีประโยชน์ แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีของอินเดียก็ดื่มน้ำปัสสาวะเป็นประจำ คนที่รู้จักกันหลายคนเขาดื่มเพื่อรักษาโรคก็ได้ผล อีกอย่างตัวเองก็แก่แล้วกลัวว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ต้องคอยชิมน้ำปัสสาวะอยู่ทุกวัน ก็เลยดื่มมาเรื่อยๆ และยายก็เชื่อพระพุทธเจ้าด้วยค่ะ ว่าน้ำปัสสาวะจะต้องดีมีประโยชน์ ท่านจึงแนะนำให้พระสมัยนั้นฉันน้ำปัสสาวะเพื่อรักษาโรค

ยายดื่มมา ๗ ปีแล้วค่ะ ตื่นนอนตอนไหนก็ดื่มตอนนั้น วันละครึ่งแก้ว แรกๆก็ผะผืดผะอมเหมือนกัน แต่ก็พยายามฝืน ดีที่ว่ายายเป็นคนดื่มน้ำเก่ง น้ำปัสสาวะก็เลยใสเหมือนน้ำ ซึ่งเท่าที่ดื่มมาก็รู้สึกว่าสุขภาพแข็งแรงดีจริงๆ คือตัวยายเองนี่นะคะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรเหมือนคนแก่อื่นๆเขาหรอก อาจจะปวดเมื่อยบ้างตามประสาคนแก่ ที่อะไรมันก็เสื่อมไปตามเวลาเป็นเรื่องปกติ แต่รู้สึกว่าตัวเองแข็งแรง
 
คุณลัดดา ปิยะวงศ์รุ่งเรือง
อายุ ๔๕ ปี รองผู้จัดการบริษัทฟ้าอภัย จำกัด

งานที่ทำส่วนใหญ่เป็นงานด้านขีดเขียน และอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จึงมักอยู่ในอิริยาบถซ้ำๆ ทำให้ปวดเมื่อยและตึงต้นคอ หัวไหล่ หลัง จนต้องให้เพื่อนช่วยบีบนวดเป็นประจำ พอเพื่อนชักชวนให้ดื่มน้ำปัสสาวะ เพราะเขาลองแล้วได้ผลดีหลายประการ จึงลองดู เพราะเห็นว่าไม่เสียหายอะไร อีกอย่างคือตัวเองมีโรคภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัวด้วย และใครๆเขาก็ว่าน้ำปัสสาวะทำให้หายได้
 
การดื่มน้ำปัสสาวะสำหรับดิฉัน ไม่ได้ดื่มครั้งละมากๆ เพียงแค่จิบอึกสองอึก เพราะรสชาติชอบกล บางครั้งก็เค็ม แต่ที่แน่ๆคือฝาดเฝื่อน ดื่มยาก จึงเลี่ยงเอามาบ้วนปากแทน เพราะมีคุณยายคนหนึ่งบอกว่าทำให้ฟันทน แต่ก็ทำได้ไม่นานนัก เพราะดิฉันไม่แน่ใจว่าในน้ำปัสสาวะจะมีหินปูนมากกว่าน้ำปกติหรือเปล่า และการเอามาบ้วนปากจะทำให้เกิดหินปูนในปากมากกว่าปกติหรือเปล่า

นอกจากที่ทดลองดื่ม ก็ลองนำน้ำปัสสาวะมาราดผม ทิ้งไว้สักครู่ก่อนสระออก การทดลองนี้ทำอยู่เป็นเดือน ก็รู้สึกว่าผมนุ่มขึ้น แล้วก็ลองนำมาล้างหน้า ลูบผิวไปด้วย ก็รู้สึกว่าผิวนุ่มเนียนขึ้นเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็เลิกไปเพราะการทำเช่นนั้นต้องใช้เวลาในช่วงเช้ามากกว่าปกติ ซึ่งดิฉันไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ แต่คิดว่าน้ำปัสสาวะน่าจะดีนะคะ เพียงแต่เราไม่ทำให้ต่อเนื่องเอง
 
นพ.วีรสิงห์ เมืองมั่น
หน่วยยูโรวิทยา ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

ในน้ำปัสสาวะมีส่วนประกอบของแร่ ธาตุอะไรบ้างคะ
ในน้ำปัสสาวะมีทั้งของดี ของที่เหลือใช้ และของที่ร่างกายไม่ต้องการ ซึ่งกำจัดออกไปทางไต ในน้ำปัสสาวะประกอบด้วยเกลือ แร่ธาตุ คือ เกลือโซเดียม โพแทสเซียม เกลือคลอไรด์ ฟอสฟอรัส และแร่ธาตุเล็กๆน้อยๆหลายๆอย่าง แล้วก็มีโปรตีน น้ำตาล รวมทั้งฮอร์โมนออกมาด้วย ฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตออกมามีหลายชนิด เช่น ฮอร์โมนต่อมใต้สมอง ฮอร์โมนต่อมหมวกไต พวกนี้ก็ขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะทั้งนั้น คือร่างกายใช้แล้วมันเหลือใช้ หรือว่าสร้างมากไปมันก็ขับออกมาทางนี้ เราจะตรวจพบได้เสมอในน้ำปัสสาวะ

การดื่มน้ำปัสสาวะนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายไหมคะ
การดื่มน้ำปัสสาวะมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นความจริงส่วนหนึ่ง จริงในแง่ที่ว่า เราได้ส่วนที่ร่างกายจะนำกลับเอาไปใช้ได้ เช่น พวกเกลือแร่ แร่ธาตุ หรือในเวลาเพลีย เราดื่มน้ำปัสสาวะเข้าไป เราก็จะได้เกลือแร่พวกนี้เข้าไปช่วยให้หายเพลียได้ นอกจากนี้ยังมีฮอร์โมนต่างๆที่ร่างกายขับออกมา พวกสตีรอยด์ ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนกระตุ้นร่างกาย กระตุ้นการทำงานของเซลล์ต่างๆ เช่น อะดรีนาลินที่ทำให้ร่างกายประปรี้กระเปร่า หรือฮอร์โมนของคนที่หมดประจำเดือนแล้ว เวลากินเข้าไปก็จะกระตุ้นรังไข่ ปัจจุบันเขานำมาสกัดเป็นยา เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพของการมีลูกได้ ซึ่งมีการใช้กันอยู่

สำหรับข้อเสียก็มีบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเรามีโรคอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นโรคเกาต์ก็ขับกรดยูริกออกมากับปัสสาวะในปริมาณที่เข้มข้น ซึ่งหากเข้มข้นมากมันก็จะตกผลึก อาจจะเกิดเป็นนิ่วได้ และในกรณีที่ร่างกายติดเชื้อ เชื้อก็จะปนออกมากับปัสสาวะ อันนี้เป็นข้อเสีย ถ้าเราดื่มเข้าไปเราก็จะได้เชื้อเข้าไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เพราะร่างกายต้องการจะขับถ่ายออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นการจะบริโภคพวกนี้เราก็ต้องเลือกดู ตำรายาไทยเขาจะบอกว่าให้ดื่มน้ำปัสสาวะของเด็ก เพราะเด็กยังไม่มีโรค

อาจารย์คิดอย่างไรคะ กับการดื่มน้ำปัสสาวะ
คนทั่วไปมักคิดว่าปัสสาวะเป็นของเสีย ซึ่งเราจะต้องขับถ่ายออกไป จึงเกิดความรังเกียจไม่กล้าดื่ม ซึ่งบางทีส่วนเสียมันก็มี ส่วนดีมันก็มี เป็นยาก็ได้ เป็นปุ๋ยก็ได้ สัตว์บางอย่างกินปัสสาวะคนเพราะมันยังมีสารอาหารที่ย่อยยังไม่หมด กินเข้าไปก็เป็นอาหารได้

ถ้ามีคนมาขอคำแนะนำในเรื่องการดื่มน้ำปัสสาวะ ในฐานะที่อาจารย์เป็นแพทย์ด้านนี้จะแนะนำอย่างไรคะ
ผมก็คงจะทดสอบความเชื่อเขาก่อน ว่าเขามีความเชื่อแค่ไหน เพราะคนที่จะมาขอคำแนะนำจากเรา ก็คงจะมีพื้นฐานอยู่พอสมควรแล้ว ที่มาขอคำแนะนำจากเราก็คงต้องการคำยืนยันทางด้านการแพทย์จากเราอีกทีหนึ่ง ผมคงจะบอกเขาได้ในแง่ที่ว่า การทำงานของไตเป็นอย่างไร สิ่งที่ออกมาในปัสสาวะนั้นเราหวังอะไรได้บ้าง มีส่วนดีส่วนเสียอะไรบ้าง ถ้าเกิดเขาจะดื่มจริงๆแล้วผมคงห้ามเขาไม่ได้

ผมเชื่อว่าถ้าสุขภาพเขาดี ปัสสาวะมันก็ดี ไม่มีอันตรายอะไร จะได้ประโยชน์แค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าตัวเขาสามารถเอาไปใช้ได้แค่ไหน เพราะมันเป็นสิ่งธรรมชาติอยู่แล้ว


เคยมีคนไข้นำเรื่องนี้มาปรึกษาอาจารย์บ้างหรือเปล่าคะ
ยังไม่เคยมี เพราะพวกที่ดื่มจะเป็นพวกที่เชื่อในลัทธิต่างๆ เขาดื่มแล้วเขาก็ไม่ค่อยจะบอกแพทย์ปัจจุบัน เขาถือว่าเขาเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เขาจะไปปรึกษากันเอง แล้วแพทย์ปัจจุบันบางคนอาจจะไม่ยอมแนะนำในเรื่องนี้ เพราะเป็นความคิดคนละแนวกัน เพราะฉะนั้นถ้าไปปรึกษาอาจจะไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการ ก็เลยไม่เคยมีใครกล้ามาปรึกษา

เคยมีการหยิบยกประเด็นนี้มาพูดคุยกันในวงการแพทย์ปัจจุบันบ้างไหมคะ

เราไม่เคยพูดกันในแง่ของวิชาการ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง เป็นศาสตร์ทางด้านตะวันออก ต้นตอมาจากอินเดีย เป็นศาสตร์เมื่อ ๔-๕ พันปีแล้ว คือทางตะวันตกเขาจะมองอะไรกันในแง่วิทยาศาสตร์หมดเลย เขาจะไม่สนใจในแง่นี้ ยกเว้นคนบางกลุ่มบางพวก

เคยมีคนใช้ผ้าอ้อมชุบน้ำปัสสาวะเด็ก เช็ดลิ้นที่เป็นฝ้าขาวที่เกิดจากเชื้อราแล้วหายได้ กรณีนี้เป็นไปได้ไหมคะ
ยูเรียในปัสสาวะเป็นยาลดไข้ด้วย แล้วก็มีฤทธิ์เป็นตัวแอนตี้เซบติกต้านเชื้อแบคทีเรียด้วย เช่น ที่นำมาสกัดเป็นยาทาแก้โรคผิวหนังบางชนิด

มีคนนำน้ำปัสสาวะไปบ้วนปาก แล้วบอกว่าทำให้สุขภาพฟันแข็งแรงขึ้น น่าจะเหมือนที่เราใช้น้ำเกลือบ้วนปาก หรือเปล่าคะ
ความคิดเห็นผม ผมว่าใช้น้ำเกลือดีกว่า เพราะเกลือที่เราใช้เป็นเกลือโซเดียมคลอไรด์ มีแมกนีเซียม โพแทสเซียมอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเราสามารถกำหนดความเข้มข้นได้ เพราะเกลือนี่เป็นตัวฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อไวรัสได้ ซึ่งโบราณก็ใช้น้ำเกลือบ้วนปากกันมานมนานแล้ว

สารอินเตอร์เฟรอนถูกวิเคราะห์ว่ามีอยู่ในน้ำปัสสาวะ และสามารถรักษาโรคเอดส์ได้ เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหนคะ
ในปัสสาวะมีฮอร์โมนหลายอย่าง อินเตอร์เฟรอนก็มี เป็นส่วนที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกาย มันก็มีในปัสสาวะ แต่มีในปริมาณมากน้อยแค่ไหน แล้วจะช่วยรักษาโรคเอดส์ได้ไหม มันก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันต่อไป

อาจารย์อยากจะฝากอะไรถึงคนที่สนใจในเรื่องนี้บ้างคะ
วิทยาศาสตร์การแพทย์มันผ่านมาหลายสมัยแล้ว คือสมัยก่อนที่คนดื่มน้ำปัสสาวะนั้นมันอาจจะนมนานมาแล้ว มาถึงสมัยใหม่นี้แล้วมันมีอะไรที่ดีกว่า ที่ปลอดภัยกว่า เราก็จะมุ่งเผยแพร่ไปด้านนั้นมากกว่า ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่าที่คุณดื่มปัสสาวะเพื่อรักษาโรคต่างๆนั้น เป็นเพราะว่าคุณเป็นโรคนั้นโรคนี้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่อยากเป็นโรค ก็คือคุณต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ทำจิตใจให้ผ่องใส พอร่างกายแข็งแรง ก็ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องกินปัสสาวะ อย่างนี้จะดีกว่าไหม