Q : อยากเรียนถามเกี่ยวกับคำแนะนำในการใช้ยาพ่นและยาหยอดจมูกเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ให้ปลอดภัย.
หมอใหม่
A : เมื่ออากาศเปลี่ยน หมายรวมถึงสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อากาศที่เย็นลง ลมพัดแรง ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย เกสรดอกไม้ปลิวว่อนกระตุ้นให้ร่างกายพยายามกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามานี้ โดยการหลั่งสารบางอย่างทำให้เกิดอาการจาม น้ำมูกไหล หายใจไม่สะดวก คันตา เคืองตา ไอ หลอดลมหดตัว หอบ ผื่นขึ้น เป็นต้น ซึ่งเป็นการแสดงถึงกลไกปกติของร่างกายในการป้องกันตนเอง ซึ่งแต่ละคนมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นไม่เท่ากัน คนที่มีความไวมากก็จะแสดงออกเร็วและรุนแรง จนเกิดเป็นโรคแพ้อากาศ (โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้) หรือโรคหอบหืด.
เมื่อเกิดอาการจาม คันจมูก คันตา คัดจมูก ก่อนจะใช้ยาสำหรับโรคภูมิแพ้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคแยกจากโรคไซนัสหรือโรคติดเชื้อ อื่นๆ ที่มีอาการและอาการแสดงคล้ายกัน.
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคแพ้อากาศ หรือโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ยาใช้เฉพาะที่ เช่น ยาพ่นจมูก น้ำเกลือล้างจมูก.
2. ยากิน เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้คัดจมูกยาป้องกันภูมิแพ้.
ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อให้เกิดการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด และควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นทั้งหลายที่อาจทำให้เกิดอาการมากขึ้น. นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ.
ยาพ่นจมูกรักษาภูมิแพ้ มียาสตีรอยด์เป็น ตัวยาสำคัญ ใช้เพื่อป้องกันอาการอักเสบจากภูมิแพ้ ลดความไวต่อสิ่งกระตุ้น โดยต้องพ่นยาต่อเนื่องทุกวัน และพ่นยาอย่างถูกวิธี โดยต้องสั่งน้ำมูกออกให้หมดก่อน เขย่าขวดยาก่อนพ่น จับขวดยาตั้งขึ้น โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางอยู่บริเวณไหล่ขวดส่วนนิ้วหัวแม่มืออยู่ที่ก้นขวด ก้มศีรษะเล็กน้อย ใส่ปลายหลอดเข้าที่ รูจมูกข้างหนึ่ง ทแยงไปด้านข้างจมูกเล็กน้อย กดแป้นสีขาวลง สูดหายใจเข้าทางจมูกช้าๆ แล้วหายใจออก ทางปาก ทำซ้ำในรูจมูกอีกข้างหนึ่ง หลังพ่นยาแล้วควรหลีกเลี่ยงการสั่งจมูกเป็นเวลา 15 นาที.
ยาหยอดจมูกที่มีตัวยาสำหรับลดอาการบวมของเยื่อบุจมูกเป็นยาใช้เฉพาะที่ โดยหยดน้ำยาเข้าไปในรูจมูกครั้งละ 1-2 หยด หรือใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำยาแล้วเช็ดในรูจมูก เพื่อรักษาโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ซึ่งควรใช้เมื่อแพทย์สั่งเท่านั้น และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3 วัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติของเยื่อบุโพรงจมูกได้ ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกิน 7 วัน. การใช้ยานี้จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ และไม่ควรใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ.
พรศรี อิงเจริญสุนทร ภ.บ., เภสัชกรหญิง สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ., น.บ.,สาขาวิชาจักษุวิทยา, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- อ่าน 2,687 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้