• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

วิธีรักษาจุดด่างดำและรอยแผลเป็น

วิธีรักษาจุดด่างดำและรอยแผลเป็น


ถาม : สุพรรณี/บุรีรัมย์

ดิฉันอายุ 15 ปี สูง 147 เซนติเมตร อยากจะขอเรียนถามคุณหมอดังนี้ค่ะ คือ
1. มีวิธีรักษาจุดด่างดำและรอยแผลเป็นจากสิวบนใบหน้าและตามร่างกายบ้างไหมคะ
2. มีวิธีป้องกันไม่ให้หน้ามันบ้างไหม เพราะทราบมาว่าหน้ามันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว (ดิฉันมีสิวเสี้ยนและผดขึ้นตาม ใบหน้ามากด้วยค่ะ)
3. ดิฉันมีกลิ่นตัวแรงมาก ทำอย่างไรจึงจะหาย (ใช้สารส้มแล้วก็ไม่หาย) ขอความกรุณาคุณหมอช่วยตอบด้วยนะคะ


ตอบ : นพ.ประวิตร พิศาลบุตร

1. เมื่อเป็นสิวอักเสบ มีผิวหนัง อักเสบหรือเป็นแผล จะมีการกระตุ้น เซลล์สร้างเม็ดสีให้ผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้น ทำให้เมื่อหายอักเสบแล้วจะทิ้งรอยด่างดำไว้ ซึ่งจะค่อยๆ จางหายไปเอง แต่อาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย การทาครีมให้ผิวขาว (whitening cream) อาจช่วยให้รอยด่างดำจางลงเร็วขึ้น บางคนใช้วิธีขัดผิวด้วยกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่า" ไอออนโต " (iontophoresis) ซึ่งอาจทำให้ริ้วรอยด่างดำจางเร็วขึ้นได้บ้าง แต่เสียค่าใช้จ่ายสูง ส่วนรอยแผลเป็นจากสิวชนิดที่มีลักษณะเป็นหลุมบ่อ รอยแผลเป็นพวกนี้มักถาวร การทากรดวิตามินเอ หรือทำไอออนโตด้วยกรดวิตามินเอ อาจทำให้รอยแผลเป็นชนิดนี้ดีขึ้นได้บ้าง นอกจากนั้นการขัดหน้าด้วยเกล็ดอัญมณี (crystal peeling หรือ microdermabrasion) ก็อาจช่วยให้แผลเป็นหลุมบ่อตื้นขึ้นได้ แต่ทางที่ดีที่สุดอย่าบีบ อย่าแกะสิวเวลาสิวอักเสบ จะช่วยไม่ให้เกิดแผล เป็นเหล่านี้ครับ

2. สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน การล้างหน้าบ่อยๆ คงไม่ใช่วิธีที่จะป้องกัน ไม่ให้หน้ามัน หรือไม่ให้รูขุมขนกว้าง ควรล้างหน้าฟอกสบู่วันละ 1-2 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว โดยใช้สบู่ลูบไล้ผิวหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เสร็จ แล้วซับให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด อาจใช้สบู่เด็กเพราะหาง่ายและไม่แพง ไม่แนะนำให้ใช้ครีมหรือโลชั่นล้างหน้า เพราะใบหน้าจะยิ่งมันขึ้น แต่ถ้าแต่งหน้าก็อาจต้องใช้ครีมล้างหน้าก่อน แล้วตามด้วยการล้างหน้าและฟอกสบู่ ระหว่างวันถ้าหน้ามันก็ใช้กระดาษซับมัน

ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ อาจทำให้หน้าแห้งได้แต่ยากลุ่มนี้จะทำให้หน้าระคายเคือง เกิดเป็นผื่นแดงและคันได้ จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ ส่วนยากินกลุ่มกรดวิตามินเอ ก็ทำให้หน้าลดมันได้แต่ยา ตัวนี้มีผลแทรกซ้อนคือทำให้ทารกในครรภ์พิการ ตาแห้ง เลือดกำเดาไหล และไขมันในเลือดสูง จึงต้องให้แพทย์ผิวหนังเป็นผู้สั่งจ่ายยา

คนที่มีใบหน้าที่มันอยู่แล้วคงไม่แนะนำให้ใช้ครีมให้ความชุ่มชื้น (moisturizer) เพราะใบหน้าจะยิ่งมันและเกิดสิวได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นอาจใช้แป้งซึ่งจะเป็นฝุ่นหรือแป้งพัฟทาหน้า จะช่วยลดความมันได้ถ้าผิวมันอยู่แล้วอาจไม่ต้องใช้ ครีมหรือโลชั่นทาหน้าก็ได้ครับ ส่วนยากันแดดอาจเลือกชนิดที่มีแป้งผสมซึ่งจะช่วยให้หน้าแห้ง และควรเป็นยากันแดดที่มีค่า SPF15 ขึ้นไป จะช่วยกันไม่ให้เกิดกระ เกิดฝ้า และไม่เหี่ยวแก่

วิธีขจัดสิวเสี้ยน บางคนใช้ไข่ขาวทาทั่วหน้าแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงลอกออก ก็อาจพอช่วยได้บ้าง เล็กน้อย อาจใช้ยาทากลุ่มเบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือกลุ่มกรดวิตามินเอทาทั่วหน้า โดยทั่วไปยาเบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ นิยมใช้ทาทั่วหน้าก่อนล้างหน้าในตอนเย็น แล้วทิ้งไว้ 5 นาที จึงล้างออก ส่วนยากรดวิตามินเอนั้นให้ ทาทั่วหน้าก่อนนอน และควรใช้ยากันแดดทาทั่วหน้าในตอนเช้า เพราะยากรดวิตามินเอหากโดนแสงแดดจะเกิดความระคายเคืองได้ ยาทาทั้ง 2 ตัวนี้อาจก่อผลแทรกซ้อน จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์นะครับ

อีกวิธีหนึ่งคือ ใช้เครื่องมือกดสิว (comedone extractor) กดตามบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยนดำ แต่วิธีนี้ต้อง ทำโดยความระมัดระวัง เพราะทำให้ ผิวหนังระคายเคือง และหากกดไม่ถูกวิธีสิวอุดตันอาจจะแตกออกจากท่อรูขุมขนโดยยังฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้ ส่วนการใช้แผ่นกาวขจัดสิวเสี้ยนก็พอ ทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้บ้าง แต่ก็ควรใช้ตามคำแนะนำในฉลากยา และ ไม่ควรใช้เกินสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

สำหรับที่ว่า " หน้ามันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว " นั้น คิดว่าไม่ถูกต้องนักหรอกครับ ต่อมไขมันที่ทำงานมากและผลิตไขมันออกมามาก แต่ไขมันไม่ถูกส่งออกมาสู่ผิวหนัง แต่กลับอุดตันอยู่ในท่อไขมัน จะเป็นสาเหตุของการเกิดสิวครับ

3. กลิ่นตัวเกิดจากเหงื่อที่ออกมากเกินไป เหงื่อไคลเหล่านี้เป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดกลิ่น ได้ง่าย วิธีกำจัดกลิ่นตัวทำได้โดยใช้

ยาลดเหงื่อ (Antiperspirants) ทำจากเกลือของอะลูมิเนียมและสังกะสี สารส้มที่ใช้กันมาแต่โบราณก็เป็นเกลืออะลูมิเนียม การทายาลดเหงื่อนั้นควรทาก่อนนอน ไม่ควรทาหลังอาบน้ำทันที และไม่ควรใช้ยาลดเหงื่อหลังจากการโกนหนวดหรือโกนขน นอกจากนั้น หากทายาลดเหงื่อตอนกลางวัน เสื้อผ้าที่ใส่ไปทำงานอาจเป็นรอยด่างตามบริเวณที่โดนยาลดเหงื่อได้

ยาลดเหงื่อนั้นออกฤทธิ์มากน้อยขึ้นอยู่กับส่วนผสมของรูปแบบที่ใช้คือ สเปรย์ แท่งสติ๊ก หรือแท่งโรลออน โดยทั่วไปนั้นยาลดเหงื่อที่ใช้โดยการฉีดสเปรย์จะได้ผลน้อยที่สุด ส่วนยาลดเหงื่อประเภทแท่งโรลออนจะได้ผลดีที่สุด หากใช้ยาลดเหงื่อแล้วไม่ได้ผลเป็นที่พอใจ หรือเกิดผิวหนังอักเสบระคายเคืองเป็นผื่นแพ้ ก็ต้องไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อการตรวจรักษาที่ถูกต้องต่อไป บางคนเหงื่อออกไม่มาก แต่คนที่เหงื่อออกไม่มากนักนี้ ไม่ได้หมาย ความว่าจะไม่มีกลิ่นตัว เหงื่อที่ออกเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียตามผิวหนัง ทำให้เกิดกลิ่นตัวขึ้นได้

ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีกลิ่นตัว ทังนี้เพราะต่อม อะโปครีนทำงานมากขึ้นยามเครียด พบว่า ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความโกรธ หรือความตื่นเต้น ล้วนแต่กระตุ้น ต่อมอะโปรครีนได้ นอกจากนั้น ในบางคนแม้ว่าความเครียดจะไม่ทำให้ เหงื่อออกมากขึ้น แต่ความเครียดก็จะทำให้ต่อมอะโปครีนหลั่งสารที่ทำปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียแล้วเกิดกลิ่นมากขึ้นได้

ยาดับกลิ่นกาย (Deodorants) นั้น ลดกลิ่นโดยการลดจำนวนของเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนัง ร่วมไปกับการดับกลิ่นโดยมีน้ำหอมผสมอยู่ในยาดับกลิ่น โดยทั่วไปนั้น ยาดับกลิ่นก็คือน้ำหอมที่มียาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเจือปนอยู่เล็กน้อย โดยลำพังแล้วยาดับกลิ่นจะไม่ลดเหงื่อ

สบู่ยาฆ่าเชื้ออาจใช้ได้ผลดีในกรณีที่มีกลิ่นตัว เพราะจะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียบนผิวหนัง อย่างไรก็ตาม สบู่จำพวกนี้มักทำให้ผิวหนังแห้งและอักเสบระคายเคืองได้ง่าย จึงควรใช้แต่เพียงตามซอกของร่างกายที่มีกลิ่นเท่านั้น ห้ามใช้สบู่ยาล้างหน้าเด็ดขาด

ก่อนเลือกใช้ยาลดเหงื่อและยา ดับกลิ่นนั้น ต้องอ่านฉลากที่อธิบายการใช้ให้ละเอียดเสียก่อน ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อที่มีเกลืออะลูมิเนียม เป็นส่วนประกอบนั้น ต้องทายาต่อเนื่องกันอยู่หลายวันจึงจะเริ่มได้ผล นอกจากนั้น การใช้ยาลดเหงื่อประเภท แท่งโรลออนนั้นก็ต้องเขย่าขวดก่อนใช้ เพราะสารเคมีที่ออกฤทธิ์จะตกตะกอนอยู่ข้างล่าง

ความชื้นที่ผิวหนังทำให้ส่วนประกอบของยาลดเหงื่อและยาลดกลิ่นเจือจางลงไป ดังนั้น หากทายาหลังอาบน้ำก็ต้องรอให้ตัวแห้งดีเสียก่อน นอกจากนี้ ถ้าจะทายาลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ต้องระวังว่าเสื้อผ้าอาจด่างบริเวณรักแร้ด้วย จึงต้องรอจนยาแห้งสนิทจึงค่อยสวมเสื้อ ทางที่ดีควรทายาลดเหงื่อและยาดับกลิ่นก่อนนอนดีกว่า และหากต้องการอาจทาซ้ำได้ตอนเช้าก่อนไปทำงาน

ขนรักแร้ที่ยาวช่วยส่งเสริมให้เชื้อแบคทีเรียบริเวณนี้เติบโตดีขึ้น ทำให้มีกลิ่นมากขึ้น จึงควรโกนหรือตัดเล็มขนรักแร้ทุกสัปดาห์ แต่ถ้าโกนบ่อยเกินไปก็ไม่ดี เพราะผิวหนังจะอักเสบง่ายขึ้น เลือกใช้เสื้อผ้าที่มีเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน เพราะใยผ้าพวกนี้จะดูดซับเหงื่อและทำให้ระเหยออกจากร่างกายได้ง่าย ใยผ้าสังเคราะห์อาจทำให้เหงื่อไม่ระเหย เชื้อแบคทีเรียจึงเติบโตง่ายขึ้น นอกจากนั้นควรเลือกสวมเสื้อผ้าที่หลวมบริเวณรักแร้ เพื่อให้อากาศถ่ายเทและเหงื่อระเหยออกได้ง่าย พยายามลดอาหารเผ็ด อาหารที่มีกระเทียมหรือเครื่องเทศลง เพราะกลิ่นของอาหารเหล่านี้จะถูกซับออกมากับเหงื่อได้ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นมากขึ้น หมั่นอาบน้ำชำระร่างกายและเหงื่อไคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามอากาศร้อน