เมษายน-พฤษภาคมของทุกปี ผลไม้นานาชนิดจะดารดาษให้คนไทยได้เลือกกินสนุกสนาน อิ่มหนำสำราญ ชาวสวนก็กำลังกระวีกระวาดเก็บผลไม้ที่รอคอยมาทั้งปีเพื่อขายสร้างรายได้ สะสางหนี้สิน และ จับจ่ายใช้สอย.
นี่คือวงจรชีวิตอย่างหนึ่งของสังคมไทยที่คนทั่วไปสัมผัสได้.
คู่ขนานกับวงจรชีวิตนี้ คือวงจรชีวิตของคน 2 ประเภทที่โคจรมาพบกันในฤดูผลไม้ คน 2 ประเภทนี้ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ (เช่นแพทย์ พยาบาล) และผู้ป่วยที่บาดเจ็บจากการตกต้นทุเรียนบ้าง ต้นเงาะบ้าง เป็นอยู่เช่นนี้มาหลายสิบปี.
วงจรชีวิตรันทดของชาวสวนผลไม้ปรากฏให้ผมรับรู้ เมื่อได้รับฟังประสบการณ์และรายงานจากบรรดาศัลยแพทย์ และผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลผู้ บาดเจ็บ (trauma care) ในโรงพยาบาลศูนย์ 20 แห่ง จาก 4 ภาค ในเวทีเสวนา "เจียระไน trauma care" เมื่อ 9 พฤษภาคม 2551.
เรื่องราวตกต้นไม้ กระตุ้นให้ความเห็นหนึ่งโลดแล่นเข้ามาเสริมความรู้ของผู้ร่วมเสวนา คุณหมอสุรจิต สุนทรธรรมเล่าให้ที่ประชุมฟังว่า ในต่างประเทศ ปัญหาอย่างนี้จะเป็นโอกาสให้วิศวกรได้โชว์ฝีมือในการออก แบบกระเช้าเก็บผลไม้ที่เพิ่มความปลอดภัย หรืออาจหมายถึงโอกาสของนักพันธุศาสตร์คัดสรรผสมพันธุ์ต้นไม้ที่ให้ผลดกแต่เตี้ยในระดับที่มือเอื้อมถึงโดยไม่ต้องปีนป่ายให้เสี่ยงภัย.
พลังของการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างสรรพศาสตร์เป็นพลังที่คนไทยอาจคุ้นเคยน้อย หรือไม่ถนัดในการจัดการให้เกิดขึ้น จึงต้องจมปรักกับปัญหาเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก.
นอกจากความไม่คุ้นเคยและความไม่ถนัด อุปสรรคที่อาจสำคัญต่อการบั่นทอนการพัฒนาความถนัดนั้น คือ แรงกดดันให้ต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้า. ในวงการ trauma care ดูเหมือนว่า ความขาดแคลนศัลยแพทย์ทั่วไป แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน และพยาบาลในโรงพยาบาลศูนย์ (หรือโรงพยาบาลรัฐอื่นๆ) ทำให้กำลังคนที่มีอยู่อย่างจำกัดต้องแบกรับภาระจนหมดกำลังและโอกาสที่จะคิดค้นแก้ปัญหาที่จะเกิดประโยชน์ระยะยาว เช่นการป้องกันชาวสวนตกต้นไม้เป็นตัวอย่าง.
ทุกคืนทีมงาน trauma care ในโรงพยาบาลศูนย์หลายแห่งต้องทำงานกันยันรุ่งสางเพื่อเยียวยาผู้ป่วย ที่ประดังเข้ามาไม่ขาดสาย ประเภทขาประจำได้แก่ อุบัติภัยจราจร ตีราฟันแทงขณะเมาสุรา มือขาด นิ้วขาดในบางพื้นที่อย่างเช่น จังหวัดระยอง.
ภายหลังเหตุการณ์ศาลพิพากษาจำคุกแพทย์ที่ฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลังในผู้ป่วยที่เสียชีวิตขณะผ่าตัดในภาคใต้ ทำให้ปริมาณผู้ป่วยที่โรงพยาบาลชุมชน เคยผ่าตัดถูกส่งต่อมายังโรงพยาบาลศูนย์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในทุกภาคของประเทศ แต่ละคืนทีมศัลยกรรมโรงพยาบาลศูนย์อาจต้องทำผ่าตัดผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบมากถึง 10 ราย จากเดิม 1-2 ราย.
ในด้านหนึ่งมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในแก้ไขปัญหาความขาดแคลนกำลังคนที่กล่าวมานี้ ในอีกด้านหนึ่งความปรารถนาดีเพื่อแก้ปัญหา อาจก่อผลกระทบในทางซ้ำเติมปัญหา.
2 ปีที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์เวร (ระดับผู้เชี่ยวชาญ) ในห้องฉุกเฉินที่เรื้อรังมานาน สปสช.จึงจัดสรรเงินค่าตอบแทนเพิ่มพิเศษให้แพทย์เวรกลุ่มนี้เวรละ 4,000 บาท จึงเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบและคำถามจากแพทย์และพยาบาลเวรที่ไม่เข้าข่ายได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม นำไปสู่ความตึงเครียดในองค์กร จนมีแรงกระเพื่อมย้อนกลับมาที่สปสช.และจะนำไปสู่การยุติการสนับสนุนนี้.
นอกจากการใช้เงินแก้ปัญหา หลายโรงพยาบาลพยายามแก้ปัญหาความขาดแคลนกำลังคน ด้วยการผลิตคนเอง โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นเป็นตัวอย่างโรงพยาบาลที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการผลิต แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินโดยร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขณะนี้มีแพทย์สำเร็จหลักสูตรนี้แล้ว 2 คนและช่วยแบ่งเบาภาระได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญคือ มีแนวโน้มที่แพทย์ 2 คนนี้จะอยู่กับองค์กรในระยะยาว.
มีข้อสังเกตจากหลายท่านในที่ประชุมว่า แพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลศูนย์ผลิตเองมีแนวโน้มเช่นนี้มากกว่าแพทย์เฉพาะทางที่ผลิตจากที่อื่น ด้วยความเชื่อนี้ จึงมีความร่วมมือในลักษณะเดียวกันในการผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น เช่น อายุรศาสตร์ อนุสาขา ทางอายุรศาสตร์ ซึ่งราชวิทยาลัยอายุรแพทย์เห็นความ สำคัญและอนุมัติหลักสูตรความร่วมมือนี้จนเริ่มดำเนินการมาแล้วหลายปี.
ถ้าความตระหนักรู้ คือ จุดตั้งต้นสำคัญของการพัฒนา (แก้ปัญหา) เวทีเสวนานี้สอนผมว่า ความรู้เฉพาะตัว (tacit knowledge) และความรู้เชิงประจักษ์ (explicit knowledge) ล้วนมีคุณค่าในการสร้างความตระหนักรู้ เช่นเดียวกันเมื่อความรู้เหล่านี้ได้แพร่สะพัดออกไปในลักษณะสื่อสารสองทางโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในแวดวงของผู้คนที่ถึงพร้อมด้วยอิทธิบาท 4 พลังความรู้จะเพิ่มพูนอย่างสุดประมาณ ในยุคแห่งอินเทอร์เน็ต บางครั้งความเร็วในการแปลงความรู้เฉพาะตัวเป็น ความรู้เชิงประจักษ์เป็นเงื่อนไขตัดสินความแตกต่างในระดับการพัฒนาระหว่างหมู่ชน สังคมและประชาชาติ.
การผงาดขึ้นเป็นว่าที่อภิมหาอำนาจของจีนและอินเดียในศตวรรษที่ 21 น่าจะสะท้อนให้เห็นพลังของวัฒนธรรมอ่านเขียนที่สะสมมาช้านานในสังคมทั้ง 2 ประเทศนี้ เช่นเดียวกับอภิมหาอำนาจในอดีตและในปัจจุบันล้วนมีจุดแข็งทางวัฒนธรรมด้านการอ่านเขียน เพราะการอ่านเขียนเป็นการถอดรหัสความรู้เฉพาะตัวแล้วเข้ารหัสเป็นความรู้เชิงประจักษ์ที่สามารถสื่อสารได้กว้างขวางรวดเร็วในทุกยุคสมัยตามลักษณะของสื่อที่เป็นโครงสร้างหลักในยุคนั้นๆ.
นี่แหละคือความเชื่อพื้นฐานประการหนึ่งอัน เป็นที่มาของเวทีเสวนา "เจียระไน trauma care" แล้วถูกถอดรหัสเป็นปัจฉิมพากย์ฉบับนี้เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ.
- อ่าน 1 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้