นอกจาก พังงา จะมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะ เมืองท่องเที่ยว และเป้าหมายการถล่มของคลื่นยักษ์ พังงายังเป็นเบ้าหลอมเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ.
อาชีพเลี้ยงแพะเป็นหนึ่งในหลายอาชีพทางเกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบทางลบจากการพัฒนา จังหวัดท่องเที่ยวอย่างพังงาจึงมีราคาที่ดินสูงขึ้น (ปัจจุบันที่ดินในจังหวัดพังงาราคาไร่ละ 8 แสนบาทเป็นอย่างต่ำ) นั่นคือ ทำให้ต้นทุนการผลิตของอาชีพเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น. การเลี้ยงแพะชนิดปล่อยให้หากินหญ้าตามทุ่งจึงขัดแย้งกับแนวโน้มของราคาที่ดิน เช่นเดียวกันการลงทุนซื้อที่มาปลูกหญ้าเลี้ยงแพะก็ไม่คุ้มค่า ชาวบ้านที่อยู่กับอาชีพเลี้ยงแพะเช่นนี้มาหลายชั่วอายุคน ก็ถึงทางตัน การหันเหชีวิตโดยไม่ได้เตรียมพร้อมให้ดีพอจะเกิดอะไรขึ้น. รูปธรรมหนึ่งที่เกิดขึ้นมานานคือ การอพยพเข้าเมืองขายแรงงาน ถ้าเป็นแรงงานราคาถูก ถิ่นที่อยู่ในเมืองที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือ "สลัม". งานวิจัยในอดีตชี้ให้เห็นว่า เบาหวานและความดันเลือดสูงของคนสลัมชุกชุมมากกว่าคนเมืองทั่วไปและมากกว่าคนชนบท.
การป้องกันไม่ให้คนชนบทอพยพเข้าเมือง โดยขาดการเตรียมพร้อม จึงแก้ทั้งปัญหาเมืองและชนบท เป็นหลักการที่รู้ทั่วกัน และแน่นอนมีทางเลือกมากมายในการป้องกัน.
ทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจคือ การสอนตัวเอง ให้รู้จักปรับตัว โดยเรียนรู้จากการกระทำของตนเอง.
กลับไปที่กรณีทางตันของคนเลี้ยงแพะที่พังงา การสอนตัวเอง ทำให้เกิดคำถามว่า นอกจากหญ้า แพะกินอะไรอีก. จากการสังเกตเกษตรกรพบว่า มันกินอาหารหลายชนิด บางชนิดต้องซื้อ บางชนิดไม่ต้องซื้อ ที่ไม่ต้องซื้อและหาได้ง่ายคือ ทางใบปาล์ม ซึ่งถูกทิ้งขว้างเสมือนไร้คุณค่า. เลยเกิดสมมติฐานว่า ถ้าเลี้ยงแพะด้วยทางใบปาล์มจะได้ผลอย่างไร นำไปสู่การทดลองให้แพะกินทางใบปาล์ม และพบว่าแพะก็กินได้. ต่อมาทดลองเติมผลปาล์มที่ขายไม่ได้ราคาเป็นอาหารเสริมเพิ่มโปรตีนให้แพะก็ได้ผลดี ฯลฯ สรุปว่าที่เกษตรกรลองผิดลองถูกโดยมีวิธีคิดที่เป็นระบบดังที่กล่าวมาทำให้สามารถลดหนี้สินครัวเรือน (ค่าเฉลี่ยต่อครัวเรือนเท่ากับปีละ 1 แสนบาท) ลดต้นทุนการผลิต ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก นี่เองคือตัวอย่างของการพึ่งตนเอง ซึ่งในที่สุดทำให้นายสงวน มงคลศรีพันเลิศ ได้รับการยกย่องเป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาปศุสัตว์ ปี พ.ศ.2548 เขาถ่ายทอด บทเรียนไว้อย่างน่าฟังว่า
"เศรษฐกิจพอเพียงจะบรรลุผลก็ต่อเมื่อ เราต้องคิดเองเป็น ทำเองได้ และพึ่งพาตัวเองได้มากที่สุด......อย่างค่อยเป็นค่อยไป".
ได้ยินเช่นนี้ แล้ว พวกศรีธนญชัยอาจตีความต่อไปว่า ต่อไปนี้รัฐก็ควรปล่อยให้ชาวบ้านอยู่ไปตามมีตามเกิดของเขาดีกว่า โชคดีที่ความจริงหลายส่วนของกลไกรัฐไทยไม่ได้ทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับรัฐบาลไต้หวัน ที่เขาเข้าใจนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยให้ชาวบ้านเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น กว้างไกลขึ้น โดยพัฒนาระบบไอทีที่ชาวนาสามารถตั้งคำถามในชีวิตประจำวัน เช่น แมลงตัวดำ กระโดดได้ ทำลายต้นข้าว คือตัวอะไร จะปราบอย่างไร วิธีการนั้นได้ผลคุ้มค่าแค่ไหน จะไปหาได้ที่ใด ฯลฯ แล้วระบบก็จะหาคำตอบให้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกนานเกินจำเป็น.
- อ่าน 2,666 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้