เกือบห้าสิบปีมาแล้ว ที่การปฏิวัติเขียวได้เริ่มขึ้นเมื่อทศวรรษ 1960 ทำให้โลกได้คลายความหิวโหยลงอย่างมาก เพียงยี่สิบปีหลังจากเริ่มการปฏิวัติเขียววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เป็นเครื่องมือสำคัญของการยกระดับการผลิตทางการเกษตรทั่วโลกในรูปของปุ๋ยเคมี ยาปราบวัชพืช ยาฆ่าแมลง และฮอร์โมนสังเคราะห์สำหรับพืช จนปริมาณอาหารโดยเฉพาะกลุ่มธัญพืชได้ล้นเกิน.
นอกจากนั้นในประเทศพัฒนา การปฏิวัติเขียวได้เปลี่ยนโครงสร้างการผลิตอย่างมโหฬาร เกษตรกรในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรลดจำนวนลงเหลือเพียงร้อยละ 2 และ 4 ของประชากรทั้งประเทศตามลำดับ. รายจ่ายด้านอาหารของประเทศลดลงจาก 1/3 ของจีดีพี เหลือเพียง 1/10 เช่นเดียวกันโครงสร้างการตลาดของอาหารก็เปลี่ยนไป โดยปริมาณอาหารเดินทางข้ามทวีปไปมาอย่างมหาศาล. อาหารสำเร็จรูปจำพวกโปรตีน เครื่องดื่ม ไอศกรีม ขนมเค้ก นมเนย จากซีกโลกเหนือได้ไหลบ่าไปสู่ตลาดของซีกโลกใต้ จากตะวันตกไปตะวันออก กลยุทธ์ทางการตลาดและเทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญในการส่งเสริมการบริโภค คู่ขนานไปกับการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติ.
ภาพที่ 1.
ในอีกด้านหนึ่ง การปฏิวัติเขียวได้สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพและระบบนิเวศน์อย่างกว้างขวาง ภาวะขาดสารอาหารซ่อนเร้น (Hidden Hunger) หรือ micronutrient deficiency ได้กลายเป็นปัญหาของประชากรโลกร้อยละ 40 หรือ 2.15 พันล้านคนโดยเฉพาะกลุ่มสตรีและเด็กในครอบครัวยากจนทั้งในประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา. ภาวะขาดสารอาหารซ่อนเร้นที่สำคัญ 4 กลุ่มได้แก่ การขาดธาตุเหล็ก ไอโอดีน วิตามินเอ และสังกะสี อันเป็นผลจากการกระจายอาหารไม่เป็นธรรม และอีกส่วนจากความลำเอียงของพื้นที่เพาะปลูกและกำลังการผลิตที่มุ่งเน้นธัญพืช โดยละเลยพืชตระกูลถั่ว ทำให้ปริมาณพืชตระกูลถั่วลดลงจนมีราคาแพงเกินกำลังซื้อของครัวเรือนยากจน.
ในประเทศไทย ร้อยละ 6 ของเด็กชั้นปฐมเป็นโรคคอพอก โดยที่บางพื้นที่ความชุกอาจสูงถึงร้อยละ 28 ที่เป็นโรคโลหิตจางยิ่งมีความชุกมากกว่าคือร้อยละ 12-22 ในเด็กก่อนวัยเรียน และร้อยละ 12-20 ในเด็กชั้นปฐม ใกล้เคียงกับตัวเลขในสตรีตั้งครรภ์ (ร้อยละ 9-17) สุดท้ายคือภาวะขาดวิตามินเอโดยไม่แสดงอาการมีความชุกสูงถึงร้อยละ 20 ในเด็กก่อนวัยเรียน.
อีกขั้วหนึ่งของปัญหาโภชนาการในยุคปฏิวัติเขียว คือปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วน อันเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาการเมตาบอลิก ก็กำลังระบาดทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมืองที่สัมผัสกับคลื่นลูกแรกของโลกาภิวัตน์ด้านการค้าอาหารและการพัฒนาที่ส่งเสริมวิถีชีวิตนั่งกินนอนกิน ในสหราชอาณาจักรโรคกลุ่มนี้เป็นภาระต่อระบบสุขภาพคิดเป็นมูลค่าถึงหนึ่งหมื่นล้านปอนด์ต่อปี.
ในทางนิเวศวิทยา รายงานชื่อ Silent Spring ของ Carson R.เมื่อปี พ.ศ. 2505 ได้ปลุกโลกให้ตื่นตัวต่อผลกระทบทางนิเวศน์ของการปฏิวัติเขียวที่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนของปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ในสิ่งแวดล้อม จนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของคนและสัตว์ คุกคามต่อเผ่าพันธุ์ของสัตว์ต่างๆเช่น นกอินทรีอันเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ความตื่นตัวนี้ได้ก่อให้เกิดกระแสตอบโต้ของผู้บริโภคอย่างน้อยสองประการที่เด่นชัดได้แก่ การก่อตัวของค่านิยมบริโภคอาหารปลอดสารพิษ (organic food) และการต่อต้านการใช้สารเคมีทางการเกษตร จนนำไปสู่การห้ามนำเข้าดีดีทีในหลายประเทศทั่วโลก.
โครงสร้างตลาดอาหารที่เปลี่ยนแปลง ยังหมายถึง ค่านิยมในการกินอาหารนอกบ้าน ที่รองรับด้วยการขยายตัวของภัตตาคารและร้านอาหาร ในสหราชอาณาจักรการวิจัยเผยว่า โรคอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่เกิดจากการกินอาหารตามภัตตาคารและร้านค้าย่อย โดยสัดส่วนที่เกี่ยวข้องกับภัตตาคารมากเป็นสี่เท่าของร้านค้าย่อย ในสหรัฐฯมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากโรคอาหารเป็นพิษในแต่ละปีสูงถึง 7.7-8.4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ มูลค่าความสูญเสียสำหรับ salmonellosis หนึ่งรายอยู่ระหว่าง 500-1,350 ดอลล่าร์สหรัฐ ถ้าเป็น botulism ตัวเลขจะสูงถึงรายละ 322,000 ดอลล่าร์สหรัฐ.
ผลกระทบด้านลบที่กล่าวมาได้กลายเป็นกระแสกดดันให้เกิดการเรียกร้อง กระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนาด้านอาหารและการเกษตรทั่วโลกที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนโดยรอบด้าน จำเป็นที่ต้องบูรณาการการเกษตรและโภชนาการ นั่นคือไม่ใช่ผลิตอาหารเพียงเพื่อการค้า แต่ต้องมุ่งตอบสนองต่อการพัฒนาสุขภาพควบคู่กันไป การปนเปื้อนอาหารทั้งจากสารเคมีและเชื้อโรคได้ก่อกระแสเรียกร้องความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งในด้านหนึ่งถูกบิดเบือนเพื่อประโยชน์ทางการค้าของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร/การเกษตรข้ามชาติซึ่งส่วนใหญ่มีถิ่นกำเนิดในสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก. การบิดเบือนปรากฏในรูปของการตั้งกติกาที่เรียกว่า Codex เพื่อหาทางออกให้กับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศในเรื่องการปนเปื้อนสารเคมีทางการเกษตร ฮอร์โมน สารปรุงแต่ง (additive) และการตัดแต่งพันธุกรรม. กรรมการที่ดูแลกติกาจำนวน 20 คณะ มีสมาชิกส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร/เกษตรข้ามชาติ ร้อยละ 96 ของตัวแทนที่ไม่ใช่ราชการ มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ แค่เนสท์เล่ บริษัทเดียวก็มีตัวแทนถึง 30 คนกระจายอยู่ในการประชุมของกรรมการทุกคณะ ในทางตรงกันข้ามผู้แทนของประเทศกำลังพัฒนากลับเป็นชนกลุ่มน้อย.
จะเห็นได้ว่า ในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมโลก สังคมไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงกระแสโลกาภิวัตน์ การที่จะปรับตัวได้อย่างเหมาะสมจำเป็นที่สังคมไทยต้องรับรู้และเข้าใจความเป็นไป ทั้งภายในและภายนอกประเทศ. ความท้าทายส่วนหนึ่ง อาจอยู่ที่วิธีคิดทั้งในระบบราชการและภาคธุรกิจที่ถนัดในการมองภาพย่อยมากกว่าภาพรวม คุ้นเคยกับการคิดเชิงเส้นตรงมากกว่าการคิดเชิงซ้อน อันเป็นอุปสรรคสำคัญของการเรียนรู้และปรับตัวร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าไม่มีกลไกทางการใดๆที่จะประสานความคิดความร่วมมือในลักษณะบูรณาการเช่นนี้ในประเทศไทย.
อย่างไรก็ตาม มีความพยายามอย่างเป็นรูปธรรมแบบเฉพาะกิจ (ad hoc) ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ อย. และภาคเอกชนในการแก้ปัญหาภาวะขาดสารอาหารซ่อนเร้นด้วยการเติมสารอาหารในบะหมี่สำเร็จรูป (Triple fortification of instant noodles in Thailand) หากได้มีการขยายผลให้เป็นนโยบายที่จะส่งเสริมกลไกเชิงสถาบันรองรับการทำงานร่วมกันเช่นนี้ในระยะยาว ความหวังที่สังคมไทยจะเผชิญกับความท้าทายของกระแสโลกาภิวัตน์ด้านเกษตรและโภชนาการอย่างยั่งยืนก็จะแจ่มชัดมากขึ้น.
เอกสารประกอบการเรียบเรียง
1. Lang T. Agriculture and Human Values 1999;16:169-185.
2. Graham RD., Welch RM. Field Crops Research 60 1999 :1-10.
3. Chavasit V and Tontisirin K http://www.unu.edu/Unupress/food/V192e/ch12.htm
- อ่าน 7,255 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้