ความเดิมตอนที่แล้ว คุยถึงเรื่องแพทย์เป็นอาชีพหรือวิชาชีพ เพราะแพทย์หลายคนได้ผันตัวเองไปใช้เวลาบางส่วนในการขายประกันชีวิต หรือธุรกิจขายตรง แม้อาจจะไม่เข้าข่ายผิดจริยธรรมในวิชาชีพ แต่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกมองเป็นแพทย์พาณิชย์ และอาจมีผลต่อวิชาชีพแพทย์ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอภิปรายกันพอสมควร.
คราวนี้ ผมมีอีกมุมมองหนึ่งในเรื่องนี้มาเสนอ แพทย์หลายคน ใช้เวลาส่วนหนึ่งกับงานราชการที่หนักพอดู และเวลาอีกหลายส่วนกับงานคลินิกส่วนตัว รวมทั้งบางส่วนกับเวรนอกเวลา เวลาส่วนใหญ่จึงทุ่มให้กับงาน...งาน...งาน เมื่อย้อนไปดูเวลาที่ให้กับตัวเอง และครอบครัวก็ดูจะน้อยเต็มที่ งานอดิเรก กีฬาที่ชอบ ก็หายไป เวลาไปเที่ยวกับลูก ดูแลลูกก็หายไป.
ดูเหมือนแพทย์บางคนจะเร่งทำงานเก็บเงินจำนวนมาก เพื่อหวังจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ อย่างสุขสบาย แต่กลับพบว่าตัวเองติดกับดักของเวลา เมื่อเกษียณ จึงพบว่า หลายๆสิ่งที่ตัวเองอยากทำแต่ไม่ได้ทำ ตอนนี้ไม่มีแรง เจ็บป่วย และความอยากจะทำกลับหายไป ครอบครัวที่ตัวเองไม่ค่อยได้ให้เวลา ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ทำให้กลับมารู้สึกถึงเวลาที่หายไป ซึ่งไม่สามารถย้อนกลับมา.
มีหมอคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ทำคลินิก ได้...เงิน แต่เสีย....ทุกอย่างของชีวิต" แม้อาจจะดูเว่อร์ไป แต่ก็สะท้อนอะไรไม่น้อย. ทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดูเหมือนจะง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วยาก เมื่อคิดถึงว่า ถ้าปิดคลินิกไปประชุมวิชาการ หรือไปเที่ยวกับลูก จะเสียรายได้วันละเกือบ 10,000 บาท หรือกว่านั้น และยังต้องไปเสียค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวอีก เหมือนเสีย 2 ต่อ อะไรอย่างนั้น.
รายได้ดูจะเป็นอะไรที่สำคัญกับชีวิตมากกว่าทุกสิ่ง มีผู้พบสิ่งที่คล้ายกันบางอย่างสำหรับหมอที่ทำคลินิกว่า หมอหลายคนสนใจที่จะซื้อรถหรูๆมาใช้ ทั้งเบนซ์ บีเอ็มดับบลิว และไม่ใช่คันเดียว แต่มีหลายคัน และจอดไว้โดยที่ไม่ค่อยได้ใช้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะมาชดเชยเวลาที่สูญหายไป คือความสุขจากการยอมรับในความมั่งมี หรูหรา และดูเหมือนว่ามนุษย์จะต้องการ สิ่งที่มากกว่ารายได้ นั่นคือการยอมรับ.
มีแพทย์ท่านหนึ่ง ได้ทำงานที่ตัวเองเคยฝันไว้ตลอดชีวิต คือ งานในโรงพยาบาลเอกชน ที่มีรายได้สูง คนไข้ไม่มาก คนไข้ไม่ซับซ้อน มีเวลาเหลือมาก ได้ไปประชุมวิชาการตามโอกาส แพทย์ท่านนั้นทำงานได้ไม่กี่เดือน ก็เริ่มไม่คุ้นเคย เพราะเคยทำงานหนัก ทำงานที่ซับซ้อน ท้าทาย ทำงานกับคนทุกข์คนยากมาตลอด จึงตัดสินใจลาออก เพราะสิ่งที่ขาดหายไปคือ ความภาคภูมิใจ นั่นหมายถึงว่า ดูจะมีสิ่งที่สำคัญสำหรับแพทย์มากกว่ารายได้ และการมีชีวิตรอดไปวันๆ ซึ่งคือการทำงานที่ท้าทาย และภาคภูมิใจ และน่าจะหมายถึงความหมายของอาชีพที่ใช้วิชาการ หรือวิชาชีพนั่นเอง.
แต่กระนั้นก็ตาม การทำงานในอุดมคติที่มากเกินไป จนลืมเลือนความต้องการทางกาย และความต้องการของครอบครัว ก็ดูจะไม่เหมาะนัก. มาดูอีกตัวอย่าง แพทย์หนุ่มคนหนึ่ง ที่ได้โอกาสไปทำงานในโรงพยาบาลชุมชนที่เกือบกันดารที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย แล้วได้ไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ตนเอง ใฝ่ฝัน และกลับมาใช้ทุนในโรงพยาบาลจังหวัดที่กันดารเกือบที่สุดของประเทศเช่นกัน. ด้วยความไม่ชอบทำคลินิก จึงทำแต่งานประจำในโรงพยาบาล แต่รายได้ของราชการก็ดูจะไม่สามารถตอบสนองกับครอบครัวที่มีลูก 2 ได้ ในวันหนึ่งเมื่อฟิวส์ขาด. แพทย์ท่านนั้น ก็ย้ายตัวเองไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ แล้วตรวจคนไข้ทั่วไป โดยบอกว่าตนได้ทำงานเฉพาะทางนั้นอย่างหนัก และเต็มกำลังความสามารถ อีกทั้งมีความรู้ในเรื่องนั้นๆเต็มที่แล้ว จนรู้สึกหมดความท้าทายทางวิชาการ และวิชาชีพแล้ว ตอนนี้จึงขอทำงานสบายๆ ไม่ต้องคิดมาก ได้รายได้พอสมควรเพื่อดูแลครอบครัว.
ทั้งสองตัวอย่างนี้น่าจะเป็นข้อคิดสำหรับทางสายกลางในวิชาชีพแพทย์ ที่ต้องสมดุลระหว่างความต้องการของชีวิต กับอุดมการณ์แห่งชีวิต.
แพทย์ ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะเยียวยาผู้คน ชีวิตเบื้องหลัง ที่มา ความคิด ความเชื่อ และเป้าหมายของชีวิตแต่ละคนย่อมต่างกัน ความต้องการของชีวิตและอุดมการณ์แห่งชีวิตก็ย่อมต้องต่างกัน สมดุลของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกัน.
มีผู้กล่าวว่า "การรับรู้ความรู้สึกผู้อื่นถือว่าเยี่ยม แต่การรับรู้ความรู้สึกตนเองเยี่ยมยอดกว่า" การรับรู้ตัวตน ความต้องการของเราและเลือกสมดุลแห่งชีวิตที่เหมาะสม น่าจะดีกว่ารอที่จะบ่นถึง "เวลาที่หายไป".
พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ.
ทีมงานวิชาการชมรมแพทย์ชนบท
- อ่าน 2,446 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้