อุปสรรคทางภาษา หรือ Language Barrier เป็นอุปสรรคสำคัญที่แพทย์เรามักมองข้ามไป เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อย่าลืมนะครับว่าพญาช้างสารก็เคยเจ็บปวดเพราะมดแดงตัวเล็กๆมาแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยในเวชปฏิบัติของเรา เพราะวันหนึ่งเรื่องเล็กอาจลุกลามกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ โดยที่เราไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ.
เดือนที่แล้ว เราคุยถึงเรื่องอุปสรรคที่เกิดขึ้น เมื่อหมอและคนไข้พูดจาสื่อสารกันคนละภาษา มาถึงเดือนนี้ เราจะมาคุยเรื่องอุปสรรคทางภาษากันต่อ แต่เป็นเรื่อง "คนละภาษาเดียวกัน" ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้ครับ
หมอ : สวัสดีครับคุณลุง วันนี้เป็นอะไรมาครับ
คนไข้ : สวัสดีครับหมอ วันนี้ผมจะมาทำซีทีสแกนครับ
หมอ (เริ่มหงุดหงิดในทันทีที่ได้ยินคำว่า "ซีทีสแกน") : ทำไมคุณลุงถึงจะมาทำซีทีสแกนครับ
คนไข้ : ก็ผมปวดหัวเรื้อรังมานานแล้ว ไปมาตั้งหลายหมอ กินยาตั้งหลายขนาน ไม่หายสักที
........................................
เอาละสิครับ คนไข้มาถึงก็บอกหมอเลยว่าจะมาทำซีทีสแกน เป็นการกระตุ้นต่อมโมโหของคุณหมอให้จี๊ดขึ้นมาในทันใด ถ้าเป็นคุณหมอเจอคนไข้รายนี้จะตอบยังไงดีครับ
ก. มาทางไหน ไปทางนั้นเลย มาถึงก็สั่งๆ ตกลงใครเป็นคนไข้ ใครเป็นหมอกันแน่ฮึถ้าคิดว่าหมอคนไหนยอมทำให้ คุณลุงก็ไปหาหมอคนนั้นก็แล้วกัน (ใช้กระบวนการ Anger เข้าข่มให้คนไข้หงอ จะได้ไม่กล้าเรื่องมาก)
ข. อย่าทำเลยคุณลุง ไม่ดีหรอก การทำซีทีสแกนโดนรังสีเอกซเรย์เกินความจำเป็นที่จะไม่เป็นมะเร็ง ก็เลยจะเป็นงานนี้ละ (ใช้กระบวนการโน้มนำ แกมขู่ให้กลัว)
ค. คุณลุงใจเย็นๆ ลองให้หมอตรวจร่างกายดู ให้ละเอียดอีกทีหนึ่งก่อนไหมครับ แล้วเราค่อยมาดูว่าจำเป็นต้องทำซีทีสแกนหรือเปล่า (ใช้หลักเหตุผลมาอธิบาย)
ง. ถามกลับว่า "คุณลุงคิดอย่างไรล่ะครับ ถึงอยากจะทำซีทีสแกน มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า"
ยังไม่มีคำเฉลยในตอนนี้ครับ เรามาดูกันต่อดีกว่าว่าคุณหมอกับคุณลุงคนไข้จะคุยอะไรกันต่อไป.
.................................................
หมอ : คุณลุงยังไม่เคยมาตรวจที่นี่เลยนี่ครับ ทำไมไม่ให้หมอลองตรวจแล้วสั่งยาให้ลองกินดูก่อนล่ะ ยังไม่จำเป็นต้องซีทีสแกนตอนนี้หรอก
คนไข้ (หน้าตาเริ่มหงุดหงิด) : ผมไม่อยากทดลองรักษาแบบหมอว่าแล้วล่ะ ไปโรงพยาบาลไหนหมอก็เริ่มด้วยการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด แล้วสุดท้ายก็ให้ยามาทุกที กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยหายปวด ผมอ่านเจอในนิตยสารของภรรยา เขาบอกว่าอาการแบบนี้อาจเป็นอาการเริ่มต้นของคนเป็นมะเร็ง ต้องรีบทำซีทีสแกน จะได้รีบรักษา นี่ไงครับ ถ้าหมอไม่เชื่อผมตัดมาให้ดูด้วย
คนไข้หยิบเอกสารที่ตัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งให้คุณหมอดู คุณหมอรับไปดูแล้วก็ทำหน้าเบ้ เพราะนิตยสารฉบับนั้นเป็นนิตยสารที่มีโฆษณาเกี่ยวกับวิตามินและการตรวจด้วยเครื่องมือไฮเทคมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นการโฆษณาที่เชิญชวนให้คนไข้ไปเสียเงินทั้งนั้น
หมอ : ผมคิดว่าคุณลุงน่าจะเชื่อหมอมากกว่านิตยสารนะครับ คุณลุงลองให้หมอตรวจดูก่อนดีไหมว่าที่ปวดหัวนั้นเป็นอะไรกันแน่
คนไข้ : ไม่เอาแล้วละหมอ ผมจะทำซีทีสแกน
หมอ : ถ้าหมอตรวจแล้วเห็นว่าสมควรจะต้องทำซีทีสแกน หมอก็จะสั่งทำให้ครับ
คนไข้ : คุยมาตั้งนาน ตกลงหมอไม่ทำซีทีสแกนให้ผมใช่ไหม
หมอ : ให้ผมตรวจก่อนนะครับ แล้วผมจะตัดสินใจอีกหนว่ากรณีของคุณลุง สมควรทำซีทีสแกนหรือไม่
คนไข้ : แล้วถ้าเกิดผมเป็นมะเร็ง คุณหมอจะรับผิดชอบหรือเปล่า ผมอยากทำซีทีสแกนตอนนี้ล่ะ จะได้ไม่ช้าเกินไป ไม่ต้องมานั่งกังวล ไม่ต้องมานั่งเดาว่าผมเป็นอะไรกันแน่
............................................................
ดูท่าบทสนทนาระหว่างคุณหมอและคนไข้ ข้างต้นจะไม่จบลงง่ายๆเสียแล้วละครับ คุณหมอยังคงยืนยันท่าเดียวว่าจะไม่ทำซีทีสแกนให้คนไข้ ถ้าไม่ได้ตรวจร่างกายโดยละเอียดเสียก่อน ขณะที่คนไข้ก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาไม่อยากเสียเวลาตรวจร่างกาย หรือลองกินยาอีก เพราะเคยผ่านกระบวนการแบบนี้มาเยอะแล้ว วันนี้ที่ตัดสินใจมาหาคุณหมอ เพราะอยากมาทำซีทีสแกนเท่านั้น.
ทั้งคุณหมอและคนไข้ต่างพูดจาสื่อสารกันด้วยภาษาเดียวกัน แต่ทั้งสองกลับไม่เข้าใจกัน เพราะมีจุดประสงค์และความเข้าใจแตกต่างกัน อย่างนี้ก็เรียกเป็นอุปสรรคทางภาษา-Language barrier อย่างหนึ่งครับ.1
ผมมั่นใจว่า เวลาที่คุณหมอทำเวชปฏิบัติในแต่ละวัน คงมีบ้างที่ความเห็นของคุณหมอและคนไข้ไม่ตรงกัน มีมุมมองไม่ตรงกันอย่างในกรณีตัวอย่าง ที่ผมยกมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจวินิจฉัย การให้ยา ไปจนถึงการตัดสินใจเลือกวิธีรักษา ส่งผลทำให้คุณหมอกับคนไข้เกิดขัดแย้งกันได้ในที่สุด.
ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่า คนไข้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับคุณหมอ มีมุมมอง มีประสบการณ์ชีวิต มีความรู้และมีความเชื่อเป็นของตนเอง เชื่อเถอะครับว่าก่อนที่คนไข้จะเดินเข้ามาหาคุณหมอในห้องตรวจนั้น คนไข้มักจะผ่านการวินิจฉัยตนเอง เพื่อช่วยวินิจฉัยว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนั้น อาจจะทดลองกินยาเองมาหลายขนานแล้ว.
แม้ขณะที่คนไข้นั่งลงเล่าอาการให้คุณหมอฟัง ยอมให้คุณหมอตรวจร่างกายของเขา คนไข้ทุกคนจะมีความคิดเรื่องอาการเจ็บป่วยของตนเองอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว และเมื่อสิ่งที่คุณหมอพูดออกมา ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่คนไข้คิด ปัญหาต่างๆก็จะเกิดขึ้นตามมาเป็นลูกโซ่2 เช่น ขัดแย้ง โต้เถียงกับคุณหมอ อย่างคุณลุงคนข้างต้น, บางคนที่ไม่อยากมีปัญหาก็อาจจะยอมทำตามที่หมอบอก แต่ก็หายหน้าไป ไม่กลับมาให้คุณหมอตรวจอีกเลย เป็นต้น.
แล้วถ้าเกิดบังเอิญคุณหมอโชคไม่ดี ไปเจอคนไข้ที่พูดกันไม่รู้เรื่องเข้า...คุณหมอจะทำยังไงดี มีหลักการง่ายๆให้ลองนำไปใช้ ดังนี้ครับ
1. ประการแรกเลย เมื่อคุณหมอพบกันคนไข้ ที่มีความคิดเป็นของตนเอง มีจุดประสงค์ในการมาหาเราเหมือนอย่างคุณลุงคนนี้ แถมพูดจาสื่อสารกันไม่เข้าใจ ทั้งที่ใช้ภาษาเดียวกันก็คือ คุณหมอจะต้องตระหนักว่า ในโลกปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคของโลกไร้พรมแดน มีสื่อต่างๆมากมายที่คนไข้สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะเป็นทางนิตยสาร อินเตอร์เน็ต เว็บไซต์เกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นมีทั้งจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ถูกก็มี ผิดก็เยอะ...กว่าคนไข้หนึ่งคนจะมาพบคุณหมอ คนไข้มักจะได้รับข้อมูล และเลือกที่จะเชื่อข้อมูลพวกนั้นมาก่อนแล้วละครับ.3
เมื่อคนไข้หนึ่งคน มาพบคุณหมอพร้อมกับ มีข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บในมือ อย่าเพิ่งไปฟันธงครับว่าข้อมูลพวกนั้นไม่ถูกต้อง ไม่น่าเชื่อถือ เพราะกว่าข้อมูลทางการแพทย์บางข้อมูลจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ หรือบรรจุลงไปในตำราแพทย์มาตรฐานนั้น คุณหมอก็คงจะทราบดีว่าต้องผ่านขั้นตอนมากมายและใช้เวลานาน ข้อมูลการค้นพบยาใหม่ๆ และวิธีการรักษาบางอย่างจึงอาจจะได้รับการเผยแพร่ก่อนในตำราเป็นเวลาหลายปี คุณหมอจึงควรรับฟังคนไข้อย่างให้เกียรติเขาครับ.
คุณหมอส่วนมากมักลืมที่จะถามว่าคนไข้ เคยเรียนรู้อะไรมาก่อนหน้านี้ ลืมถามว่าคนไข้คิดและคาดหวัง (idea and expectation) อย่างไรกับความเจ็บป่วยในครั้งนี้ เพราะฉะนั้นคุณหมอควรให้เวลาสำหรับการซักถามคนไข้ในประเด็นดังกล่าวแล้ว คุณหมอกับคนไข้อาจจะเข้าใจกันมากขึ้นครับ
การพยายามค้นหาความคิด ความเชื่อ มุมมองต่อการเจ็บป่วยของคนไข้ จึงมีความสำคัญมากสำหรับคุณหมอ ในการจะวางแผนการรักษาต่อไป.4
ถ้าลองเปลี่ยนบทสนทนาระหว่างคุณหมอ และคนไข้กรณีศึกษาข้างต้นเสียใหม่ เป็นแบบนี้ คุณหมอว่าฟังดูดีกว่าเดิมไหมครับ.
หมอ : สวัสดีครับคุณลุง วันนี้เป็นอะไรมาครับ
คนไข้ : สวัสดีครับหมอ วันนี้ผมจะมาทำซีทีสแกนครับ
หมอ : เอ...คุณลุงคิดอย่างไรครับ วันนี้ถึงอยากจะมาทำซีทีสแกน
คนไข้ : ก็ผมปวดหัวเรื้อรังมานานแล้ว ไปมาตั้งหลายหมอ กินยาตั้งหลายขนาน ไม่หายสักที อ่านในหนังสือเขาว่าอาการแบบนี้ส่วนมากเกิดจากมะเร็ง ผมเลยกลัวครับ การตรวจร่างกายเพียงอย่างเดียวบอกไม่ได้ไม่ใช่หรือหมอ ผมคิดว่าไม่อยากเสียเวลา เลยมาบอกให้หมอทำซีทีสแกนให้
หมอ : ผมเข้าใจแล้วละ คุณลุงกลัวว่าปวดหัวมานานอาจจะเป็นมะเร็ง เลยอยากให้หมอทำซีทีสแกนให้ถูกต้องไหมครับ
คนไข้ (ยิ้ม) : ใช่แล้วหมอ
เห็นไหมครับว่าตอนนี้หมอกับคนไข้ เริ่มจะพูดภาษาเดียวกันแล้ว ต่อไปหากคุณหมอแนะนำอะไรคนไข้ก็มีแนวโน้มอยากร่วมมือมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าคุณหมอรับฟังสิ่งที่เขาคิด และเริ่มเข้าใจเขามากขึ้น.
2. แพทย์ทุกคนย่อมจะตรวจวินิจฉัยและเลือก วิธีการรักษาที่ดีที่สุดให้แก่คนไข้ ด้วยจรรยาบรรณของเราอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าผู้ป่วยก็มี "สิทธิของ ผู้ป่วย-Patient Right" ที่จะทำตามคำแนะนำของเราหรือไม่ก็ได้นะครับ คุณหมอต้องไม่ลืมความจริงข้อนี้ เพราะสุดท้ายแล้ว หลังจากคุยกันมาเป็นนานสองนาน คนไข้อาจจะตัดสินใจไม่ทำตามที่เราแนะนำ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกแบบนั้นได้.
การที่คนไข้ไม่ตัดสินใจเลือกวิธีรักษาอย่างที่หมอแนะนำ ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อฟังหมอ แต่เป็นเพราะคนไข้ทุกคนมีภูมิหลังความเป็นมาและความคิดที่แตกต่างกันครับ รวมไปถึงปัจจัยความแตกต่างทางวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลในการตัดสินใจของคนไข้ทุกคนแตกต่างกันออกไป5 ถ้าไม่เชื่อ...คุณหมอลองนึกเปรียบเทียบกับตัวเองดูก็ได้.
3. เมื่อคุณหมอและคนไข้มีข้อขัดแย้งทางความคิด มีความคิดไม่ตรงกัน ขอให้ลองนึกถึงภาพข้างล่างนี้นะครับ.
เวลาที่คุณหมอพยายามโน้มน้าวใจ, บังคับ, ข่มขวัญให้คนไข้เลือกการรักษาในวิธีที่คุณหมอคิด คุณหมอกำลังใช้ความคิดของคุณหมอเป็นหลัก My way.
แต่ถ้าคุณหมอถูกคนไข้ชักนำจนเดินไป ตามทางที่คนไข้ต้องการ คุณหมอกำลังตกอยู่ภายใต้ "Your Way"-วิถีความคิดของคนไข้แล้วครับ.
หากในที่สุด ความคิดของคุณหมอและคนไข้ไม่สามารถพบกันครึ่งทางได้ คุณหมอและคนไข้กำลังเผชิญกับคำว่า ไม่มีทาง-No way !
ดีที่สุดแล้ว ทำอย่างไร คุณหมอและคนไข้จึงจะสามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง สามารถพบกันคนละครึ่งทาง ทำอย่างไรจึงจะมีความเห็นร่วมกัน-Our Way...สิ่งนี้ละครับ คือคำตอบสำหรับปัญหาเรื่อง "คนละภาษาเดียวกัน".
4. มีหลายวิธีที่สามารถจะบรรลุวัตถุประสงค์ ร่วมกันระหว่างหมอและคนไข้ คุณหมอหลายท่านอาจจะมีเทคนิคส่วนตัวที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร ผมขอเสนอโมเดลของ "The Harvard Negotiation Project" ซึ่งมีเพียง 6 ขั้นตอนง่ายๆ.
จากกรณีศึกษาข้างต้น คุณหมอและคนไข้มีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของการตรวจโรคปวดหัวเรื้อรัง หมออยากให้คุณลุงตรวจร่างกายแบบทั่วๆไปก่อน แต่คุณลุงอยากจะทำซีทีสแกนเลย ขั้นตอนของ "The Harvard Negotiation Project" ที่คุณหมอสามารถนำไปใช้ได้ จะมีดังต่อไปนี้ครับ.
4.1 ทั้งสองฝ่ายควรจะชัดเจนในบทบาท ของตนเองว่าใครคือหมอ ใครคือคนไข้.
4.2 ทั้งสองฝ่ายควรจะต้องมีความเข้าใจเรื่องการวินิจฉัยโรค, การดำเนินโรค, พยากรณ์โรคและแนวทางการรักษาตรงกัน.
4.3 คุณหมอและคุณลุงจะต้องเล่นในเกมส์ คือ พูดคุยถกเถียงกันอยู่ในเรื่องของการตรวจโรคปวดหัวเท่านั้น อย่าออกไปเล่นนอกสนาม ด้วยการเปิดประเด็นอื่นๆเด็ดขาดครับ.
4.4 พูดคุยหาแนวทางการวินิจฉัย-ข้อดี ข้อเสีย-ความจำเป็นและข้อบ่งชี้ที่เป็นไปได้ทั้งหมดร่วมกัน.
4.5 ค่อยๆตัดตัวเลือกออกไปทีละตัวจน เหลือตัวเลือกที่ทั้งสองฝ่ายรู้สึกพึงพอใจ ถ้าเป็นตัวเดียวกันก็ปิดเคสได้ครับ แต่ถ้าหมอและคนไข้ยังคงเลือกกันคนละวิธี ก็คงต้องมาถึงข้อ 6.
4.6 กำหนดเวลาของแต่ละตัวเลือกหรือ Time frame ให้ชัดเจน เช่น คุณหมออาจจะขอทดลองวิธีของคุณหมอเป็นเวลาสองสัปดาห์ หากคนไข้ ยังไม่หายปวดคุณหมอคงจะต้องยอมให้คนไข้ได้ลองวิธีของคนไข้บ้าง เป็นต้น.
เมื่อคุยกับคนไข้มาจนถึงบันไดขั้นที่ 6 ส่วนมากคนไข้มักจะเข้าใจ ยอมรับฟัง รวมถึงยอมพบกับคุณหมอคนละครึ่งทางแล้วละครับ.
5. แต่ในกรณีที่คุณหมอได้สื่อสารกับคนไข้ ได้ลองใช้ "The Harvard Negotiation Project" ดูแล้วก็ยังไม่ได้ผล คนไข้กับคุณหมอยังมีข้อขัดแย้ง ความคิดเห็นยังไม่ตรงกันอีก ผมเสนอให้คนไข้ลองไปพบคุณหมอท่านอื่น เพื่อขอ Second Opinion ดูครับ.
วิธีนี้จะลดข้อขัดแย้งลงได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะถ้าคุณหมออีกท่านให้ความเห็นไปในทำนองเดียวกับคุณหมอท่านแรก.
6. ในกรณีที่มีความขัดแย้งเช่นนี้เกิดขึ้นระหว่างคุณหมอและคนไข้ คุณหมอต้องอย่าลืมประเมินดูคนไข้ ด้วยนะครับว่า ในเวลานั้นคนไข้มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่หรือเปล่า มีศักยภาพสามารถคิดและตัดสินใจ (Decision making capacity) ได้หรือเปล่า เพราะบางราย...มีนะครับ...เถียงกันตั้งนาน...โธ่ ที่แท้คนไข้มี Delusion กำลังรักษาอยู่กับคุณหมอท่านอื่นเป็นต้น.
7. ข้อสุดท้ายนี้เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมไม่อยากให้คุณหมอมองข้ามไป นั่นคือ การบันทึกเวชระเบียนเอาไว้อย่างละเอียดในเรื่องของการตัดสินใจเลือกวิธีรักษาของคนไข้ หากทำได้ควรบันทึกทุกกรณี เพื่อเป็นหลักฐานว่าคุณหมอได้อธิบายคนไข้เรียบร้อยแล้ว และคนไข้ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง.
เพราะบางกรณีคนไข้รู้อยู่แล้วว่า วิธีรักษาที่ตนเองเลือกนั้นเป็นวิธีที่ไม่เหมาะสม แต่ก็ยังดึงดันจะเลือก เช่น คนไข้ผู้หญิงวัยรุ่น มีก้อนที่เต้านม แพทย์ตรวจแล้วมั่นใจว่าเป็นมะเร็งแน่นอน จึงแนะนำให้ทำ total mastectomy แต่คนไข้ขอทำแค่ tumor removal ซึ่งเป็นวิธีที่เสี่ยงเกินไป มะเร็งอาจจะแพร่กระจายไปในภายหลังได้ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร คนไข้ก็ยังยืนยันขอเลือกวิธีนี้.
กรณีเช่นนี้ มีโอกาสจะเกิดเป็นคดีความฟ้องร้องได้ในอนาคต ดังนั้นคุณหมอต้องยอมเสียเวลาบันทึกหลักฐานที่คุณหมออธิบายคนไข้เอาไว้ในเวชระเบียนให้ละเอียด เพื่อป้องกันตัวเอง หากจำเป็นอาจจะต้องให้คนไข้เซ็นชื่อเอาไว้เป็นหลักฐานด้วยอีกคนหนึ่งครับ.
.............................................
ผมมีข้อคิดเล็กๆน้อยๆ มาฝากคุณหมอก่อนจากกันเดือนนี้ครับ
บางครั้งแพทย์เราชอบบ่นว่า...คนไข้อะไรนะ ช่างพูดจาไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย...
เคยได้ยินคนไข้บ่นให้ฟังบ้างไหมครับว่า...วันนี้ไปตรวจมา หมออะไรก็ไม่รู้ ช่างพูดจาไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย...
เอกสารอ้างอิง
1. Quill TE, Brody H. Physician recommendations and patient autonomy : Finding a Balance between physician power and patient choice. Ann Intern Med 1996;125:763-9.
2. Gross R, Birk PS, D'Lugoff BC. The Influence of patient-practitioner agreement on the outcome of care. Am J Public Health 2004; 71:127-32.
3. Keller VF, White MK. Choices and Changes : A New Model for influencing patient health Behavior. J Clin Outcomes Manag 2004;4: 33-6.
4. Ende J, Kazis L, Ash A, et al. Measuring patients desire for autonomy: decision making and information seeking preferences among medical patients. J Gen Intern Med 2003;4: 23-30.
5. Brody DS. The patient's Role in Clinical- Decision making. Ann Intern Med 1980;93: 718-22.
พงศกร จินดาวัฒนะ พ.บ.
ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป)
อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ศูนย์สุขภาพชุมชน 1
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม
โรงพยาบาลราชบุรี
- อ่าน 2,384 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้