ยากับการแพทย์เป็นของคู่กันมานาน ในประเทศสหรัฐอเมริกา เคยมีรายงานใน JAMA ว่าผู้ป่วยเสียชีวิตในปีหนึ่ง 106,000 ราย เพราะการจ่ายยาผิดประเภทหรือเกิดพิษจากยา ความผิดพลาดที่รุนแรงนี้ แท้จริงเป็นเรื่องป้องกันได้.
ความแออัดของโรงพยาบาลโดยเฉพาะผู้ป่วยนอก เป็นภาพที่เห็นได้ในโรงพยาบาลทั่วไปทุกภาคของประเทศ สร้างความลำบากทั้งกับผู้ป่วย ญาติและบุคลากร เป็นเงื่อนไขบั่นทอนคุณภาพบริการอย่าง น่าเสียดาย เพราะแท้จริงปัญหานี้แก้ไขได้.
แต่ไหนแต่ไรมา ข้อมูลบริการของสถานพยาบาลมีไว้รายงานเจ้านายที่กรุงเทพมหานคร ทำให้งานด้านข้อมูลในสายตาบุคลากรที่ต้นทาง คือภาระเกินจำเป็น เป็นเรื่องน่าเบื่อ กำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมและรายงานข้อมูลให้น่าเชื่อถือมีจำกัด ผลสุดท้ายเกิดข้อมูลขยะเต็มไปหมด วันนี้ข้อมูลกำลังเป็นขุมทรัพย์ของโรงพยาบาลที่สามารถแปรเป็นบริการ อันเปี่ยมค่าและทันการณ์.
ทางออกเชิงทฤษฏีจากสภาวะ "ยาขม" ในงานบริการผู้ป่วย ดังยกตัวอย่างได้ปรากฏเป็นจริงในเครือข่ายสถานพยาบาลจำนวนหนึ่งที่ค่อยๆ ขยายตัวโดยเริ่มต้นด้วยโรงพยาบาลชุมชนไม่กี่แห่ง กลายเป็นกว่า 80 แห่งและคลินิกอีก 200 กว่าแห่ง
ผลงานที่จับต้องได้ในลักษณะดังกล่าว ปรากฏเป็นตัวอย่างในโรงพยาบาลต่างๆ ดังนี้
- โรงพยาบาลภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ อุบัติการณ์ความผิดพลาดในการให้ยาและ สารน้ำลดลง 4 เท่าภายในปีเดียว (จากร้อยละ 0.97 เหลือร้อยละ 0.24).
- โรงพยาบาลหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ บริการผู้ป่วยนอกลดลงจาก 700 ครั้ง เหลือ 300 ครั้งภายใน 2 ปี โดยส่วนที่ลดลง มิได้ไปไหนไกล แต่กระจายออกไปยังสถานีอนามัยใกล้บ้านแทนโดยสมัครใจ.
- โรงพยาบาลบ้านตาก จังหวัดตาก สัดส่วนเวชระเบียนผู้ป่วยในที่สมบูรณ์เพิ่มจาก ร้อยละ 59 เป็นร้อยละ 81 ในเวลา 4 ปี ในเวลาเดียวกันกรณีผู้ป่วยนอก เวชระเบียนที่สมบูรณ์มีสัดส่วนเพิ่มจากร้อยละ 37 เป็นร้อยละ 79.
ความก้าวหน้าในการพัฒนาดังตัวอย่างทั้งสาม อาจมาจากความเหมือนกันอันเป็น เงื่อนไขแห่งความสำเร็จขั้นรากฐานดังนี้
1. การประยุกต์ใช้โปรแกรม Hospital OS ภายใต้การนำและสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง ของผู้อำนวยการโรงพยาบาล (เกือบทั้งหมด).
2. การพัฒนาบุคลากร1 ให้มีความรู้ ทักษะและกำลังใจที่พร้อมทุ่มเทเพื่อการพัฒนาโรงพยาบาลโดยใช้ Hospital OS เป็นเครื่องมือ ทั้งนี้การพัฒนาบุคลากรอาศัยการฝึกอบรม การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบุคลากรในแต่ละโรงพยาบาล และระหว่างเครือข่ายโรงพยาบาล/คลินิก ซึ่งส่วนใหญ่ทำผ่านอินเทอร์เน็ต.
3. การสนับสนุนทางเทคนิคไอทีอย่างใกล้ชิดโดย นายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพชร และคณะ ซึ่งเป็นผู้พัฒนา Hospital OS ให้เป็นระบบสารสนเทศชนิด open source2 สำหรับสถานพยาบาลปฐมภูมิโดยไม่คิดมูลค่า.
พัฒนาการอันน่าชื่นชมในสถานพยาบาลปฐมภูมิ ข้างต้น สะท้อนความจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติที่เรียกว่า "การจัดระเบียบตัวเอง" (self organizing) ของระบบเปิดอันซับซ้อน (complex open system) ที่การเปลี่ยนแปลงอาจตั้งต้นจากจุดใดของระบบก็ได้ หาใช่การสั่งการจากบนลงล่างอย่างที่เข้าใจกันในระบบราชการแบบรวมศูนย์อำนาจเท่านั้น.
อาจบางทีจุดตั้งต้นของ การพัฒนาสถานพยาบาล ปฐมภูมิด้วย Hospital OS ย้อนหลังไปเมื่อ 7 ปีก่อน ด้วยคำพูดทำนองว่า "ผมเชื่อว่าก้อง (หมายถึง นายแพทย์ก้องเกียรติ) ทำได้" ของนายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เลขาธิการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เมื่อได้ทราบหน่ออ่อนความคิดเกี่ยวกับ Hospital OS.
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง วจีกรรมอันเปี่ยมด้วยศรัทธาที่รุ่นพี่มีต่อรุ่นน้อง ก็คงเปรียบได้กับปรากฏการณ์ ผีเสื้อขยับปีก ตามทฤษฎีอภิมหาโกลาหล ซึ่งส่งผลต่อเนื่องในลักษณะลูกบอลหิมะ (snow ball effect) นั่นคือ ยิ่งนานวันมวลสารแห่งความเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งขยายตัว ความเปลี่ยนแปลงที่สืบสานต่อเนื่องกันมาถึง 7 ปี ย่อมบ่งชี้ว่า บัดนี้มวลวิกฤตได้เกิดขึ้นแล้ว.
ถ้าเข้าใจคุณสมบัตินี้ กระทรวงสาธารณสุข, สปสช., กพร. และหน่วยงานผู้มีอำนาจอื่นๆ ในส่วนกลางก็จะเห็นว่า พัฒนาการของระบบบริการสุขภาพเป็นไปได้ด้วยการให้อิสระแก่หน่วยปฏิบัติโดยคลายการควบคุมกำกับที่แข็งทื่อ ยอมให้มีการทดลองบนหลักการพึ่งตนเอง บนฐานความรู้จากการปฏิบัติจริง และการระดมสรรพกำลังในรูปเครือข่าย (networking) นั่นคือความสัมพันธ์กันฉันท์กัลยา ณ มิตร มิใช่นายกับบ่าว สถานพยาบาลปฐมภูมิอันเป็นฐานใหญ่ ของระบบบริการสุขภาพก็จะเป็นที่พึ่งของชุมชน ได้อย่างเข้มแข็งมั่นคงสืบไป.
บันทึกความคิดคำนึงที่ได้แรงบันดาลใจจาก การประชุม Hospital OS Conference 2008 โรงแรม เอวัน ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551.
(ศาสตราจารย์ นายแพทย์ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล)
1 ในโรงพยาบาลบางแห่ง พนักงานขับรถได้รับการฝึกอบรมจนกลายเป็น Linux Admin หรือ SysAdmin ที่ชำนาญการ
2Open source เป็นระบบเปิดเผยรหัส ทำให้ผู้มีความรู้ทางภาษาคอมพิวเตอร์สามารถต่อยอดได้ด้วยตนเอง
- อ่าน 2,571 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้