ส่วนใหญ่เป็นความพิการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา โดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน มักพบในทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักตัวตอนแรกเกิด น้อยกว่า 1,500 กรัม
ส่วนน้อยที่ทราบสาเหตุ ซึ่งมีอยู่หลายประการ เช่น
- มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น มารดาเป็นโรคหัดเยอรมันหรือติดเชื้อไวรัสอื่นๆ หรือเป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคไทรอยด์ โรคลมชักชนิดรุนแรง หรือโรคขาดอาหารรุนแรง มารดาได้รับบาดเจ็บ ดื่มเหล้าจัด หรือสูบบุหรี่ หรือได้รับสารกัมมันตรังสี
- มีความผิดปกติของพัฒนาการของสมองตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือภาวะหลอดเลือดสมองของทารกตีบหรืออุดตันl ทารกคลอดยาก สมองทารกได้รับบาดเจ็บ หรือมีเลือดออกในสมองขณะคลอด หรือทารกไม่หายใจหรือ ตัวเขียว (ขาดออกซิเจน) หลังคลอด
- ทารกมีภาวะดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) รุนแรงหลังคลอดเพียงไม่กี่วัน
- ทารกหรือเด็กเล็ก (ภายใน 3-5 ขวบแรก) เป็นโรคติดเชื้อของสมอง (สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ) โรคพิษตะกั่ว (เช่น กินสีทาบ้านที่มีส่วนผสมของตะกั่ว) โรคขาดอาหารรุนแรง ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ (เช่น รถชน รถคว่ำ พลัดตกจากที่สูง ถูกจับเขย่าตัวแรงๆ) หรือสมอง ขาดออกซิเจน (เช่น สิ่งแปลกปลอมติดคอ จมน้ำ)
อาการผิดปกติมักเกิดขึ้นตั้งแต่หลังคลอด ซึ่งจะเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่อายุ 6 เดือน และชัดเจนเมื่ออายุ 1-2 ขวบ
ส่วนเด็กที่มีสมองพิการเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุในภายหลัง ก็มักมีอาการภายหลังเกิดเหตุ
อาการแสดงมีลักษณะและความรุนแรงหลากหลาย แรกเริ่มทารกจะมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กปกติ เช่น คลาน นั่ง ยืน เดิน และพูดได้ช้ากว่าวัยที่ควรต่อมาจะมีความผิดปกติของความตึงของกล้ามเนื้อ อาจแข็งตัว หรืออ่อนตัวกว่าปกติ มีการเคลื่อนไหวและท่าทางผิดปกติ
ส่วนใหญ่เด็กจะมีอาการกล้ามเนื้อแข็งตึง ทำให้แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวลำบาก ข้อศอกงอ ข้อเข่างอ ตำแหน่งกล้ามเนื้อที่ผิดปกติอาจมีได้หลายลักษณะ บางคนเป็นที่ขา 2 ข้าง ทำให้มีลักษณะไขว้กันเหมือนกรรไกร บางคนเป็นที่แขนและขาซีกซ้ายหรือขวาเพียงซีกเดียว บางคนเป็นที่แขนและขาพร้อมกันทั้ง 4 ข้าง
ที่พบได้รองลงมาคือ เด็กจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนตัวทั่วร่างกาย และมีการเคลื่อนไหวของใบหน้าและแขนขาอย่างช้าๆ และไม่เป็นจังหวะ (ยึกยือ) หรือกระตุก ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ และไม่สามารถควบคุม ได้ คล้ายเป็นเด็กอยู่ไม่สุข ทำให้ตั้งตัวตรงลำบาก หยิบจับสิ่งของ (เช่น แปรงสีฟัน ช้อน) ไม่ได้
ส่วนน้อยจะมีความผิดปกติของการประสานการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการมือสั่น เวลาเคลื่อน ไหว และเดินซวนเซ
บางคนอาจมีอาการแสดงหลายๆ ลักษณะร่วมกันนอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เดินตัวไม่ตรง เดินขาลากหรือเท้าลากข้างหนึ่ง ตัวสั่น น้ำลายไหลยืด กลืน ดูดหรือพูดลำบาก พูดไม่ชัด พูดฟังไม่รู้เรื่อง เขียนหนังสือหรือติดกระดุมลำบาก บางคนอาจมีอาการ ตาเหล่ สายตาไม่ดี หูตึง เป็นโรคลมชัก สติปัญญาพร่อง หรือปัญญาอ่อนร่วมด้ว
อาการเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักจะเป็นอย่างถาวรและคงที่ ไม่เป็นมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
การดำเนินโรค
ในรายที่เป็นรุนแรง มักมีอายุสั้น
ถ้ามีอาการแขนขาเกร็งทั้ง 4 ข้าง มักมีอาการชักและปัญญาอ่อนร่วมด้วย อาจเดินไม่ได้หรือช่วยตัวเองได้น้อย
ในรายที่มีอาการเกร็งของขา 2 ข้าง หรือแขนและขาซีกหนึ่ง มักจะมีภาวะแทรกซ้อนไม่รุนแรงเท่ากับแขนขาเกร็งทั้ง 4 ข้าง การบำบัดและการใช้อุปกรณ์ช่วย มักจะได้ผลดี โดยทั่วไปถ้าเด็กสามารถนั่งได้เมื่ออายุ 2 ขวบ ผลการรักษาค่อนข้างดี ถ้าพ้น 4 ขวบแล้วยังนั่งไม่ได้ ผู้ป่วยมักจะเดินไม่ได้
ในรายที่เป็นไม่มากและไม่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มักจะสามารถเรียนหนังสือและประกอบอาชีพได้เหมือนคนปกติทั่วไป บางคนอาจมีความฉลาดและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานดีกว่าคนทั่วไป
ภาวะแทรกซ้อน
ในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เด็กตัวเล็ก เนื่องจากกินอาหารลำบาก ฟันผุ ท้องผูก ปอดอักเสบ (เนื่องจากสำลักอาหาร) ตาบอด หูหนวก กระดูกพรุน ข้อยึดติด ข้อสะโพกหลุด กระดูกหลังคด ปัญญาอ่อน การเรียนรู้ช้า สมาธิสั้น เป็นต้น
การแยกโรค
อาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ อาจเกิดจากโรคของ สมองหรือไขสันหลังชนิดอื่นๆ หรือโรคของกล้ามเนื้อต่างๆ
ส่วนอาการปัญญาอ่อน อาจเกิดจากกลุ่มอาการดาวน์ (Down s syndrome) ซึ่งมักไม่มีความผิดปกติ ของกล้ามเนื้อร่วมด้วย
อาการชักอาจเกิดจากโรคลมชัก หรือลมบ้าหมู ซึ่งเวลาไม่ชักผู้ป่วยจะเป็นปกติดี
อาการสั่น อาจเกิดจากโรคพาร์กินสัน (โรคสันนิบาตสั่น) ซึ่งพบในผู้สูงอายุ
แพทย์จะให้การรักษาตามลักษณะอาการที่พบ ส่วนมากจำเป็นต้องให้การรักษาทางกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด การใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน ฝึกพูด แก้ไขความผิดปกติเกี่ยวกับสายตาและการได้ยิน
ส่วนยาที่ให้จะเป็นยาที่ใช้ควบคุมอาการเกร็ง อาการสั่น อาการชัก ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายชนิด และจำเป็นต้องกินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี
บางครั้งแพทย์อาจฉีดยาโบทูลิน (botulin) มีชื่อการค้า เช่น โบท็อกซ์ (Botox) เพื่อลดการแข็งตัวของกล้ามเนื้อ บางรายอาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไขความพิการและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการแสดงเป็นสำคัญ มักจะวินิจฉัยได้ชัดเจนเมื่ออายุ 1-2 ขวบ ซึ่งบางครั้งอาจต้องติดตามเฝ้าดูอาการเปลี่ยนแปลงสักระยะหนึ่ง จึงจะสรุปได้ชัดเจนในรายที่ไม่แน่ใจ อาจทำการตรวจสมอง เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจคลื่นสมอง เป็นต้น เพื่อค้นหาสาเหตุอื่นๆ ที่อาจมีอาการแสดงคล้ายโรคสมองพิการ
หากสงสัย เช่น ทารกหรือเด็กเล็กมีพัฒนาการช้ากว่าปกติ มีกล้ามเนื้อแข็งหรืออ่อนตัวกว่าปกติ มีการเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติ เป็นต้น ควรพาไปปรึกษา แพทย์โดยเร็ว
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองพิการ พ่อแม่ หรือผู้ปกครองควรให้การดูแลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กสามารถพึ่งตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การป้องกัน
เนื่องจากส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงหาทางป้องกันได้ค่อนข้างยาก
ส่วนที่ทราบสาเหตุแน่ชัด ก็อาจป้องกันได้โดยการปฏิบัติดังนี้
- ก่อนตั้งครรภ์ ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง บำรุงอาหารสุขภาพ ควบคุมโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง) ให้ได้ผล ควรฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน
- เมื่อตั้งครรภ์ ควรฝากครรภ์และดูแลครรภ์ตามคำแนะนำของแพทย์ หลีกเลี่ยงสิ่งอันตราย (เช่น เหล้า บุหรี่) และคลอดที่สถานพยาบาลที่มีความพร้อม
- เมื่อพบว่าทารกแรกเกิดมีอาการตาเหลือง ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
- ทารกและเด็กเล็ก ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามตารางกำหนด ควรระวังป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ และเมื่อมีอาการเจ็บป่วยควรรีบดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
โรคสมองพิการ ในที่นี้หมายถึง ความผิดปกติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและท่าทางของร่างกายที่เกิดจากรอยโรคในสมองใหญ่ (cerebrum) ซึ่งควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
โรคนี้มักเป็นมาแต่กำเนิดหรือตั้งแต่เล็ก มีอาการแสดงและความรุนแรงต่างๆ กันไป ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะและตำแหน่งของรอยโรคในสมองบางคนอาจมีระดับสติปัญญาดีเช่นคนปกติทั่วไป แต่บางคนอาจมีความบกพร่องทางเชาวน์ปัญญามากน้อยแตกต่างกันไป
ความพิการที่เกิดขึ้นจะเป็นอยู่อย่างคงที่และต่อเนื่องตลอดไป และจะไม่เลวลงตามอายุที่มากขึ้น ส่วนใหญ่หากได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างจริงจัง ก็อาจช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและบางส่วนสามารถเรียนหนังสือและทำงานได้เช่นคนทั่วไป
ชื่อภาษาไทย
โรคสมองพิการ โรคพิการทางสมอง ซีรีบรัลพัลซี ซีพีn
ชื่อภาษาอังกฤษ
Cerebral palsy, CPn
ความชุก
คาดว่ามีทารกที่ป่วยเป็นโรคสมองพิการประมาณ 1-3 คนต่อทารก 1,000 คนโรคนี้พบบ่อยในทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่า 1,500 กรัม
- อ่าน 8,806 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้