ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งไวรัสอื่นๆ อีกหลายชนิด
บางส่วนเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่หลายชนิด เชื้อมีอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือผู้ป่วย สิ่งของหรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อที่ ออกมากับน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย เมื่อนิ้วมือที่แปดเปื้อนเชื้อสัมผัสปาก หรือจมูกเชื้อก็จะเข้าไปในคอหอยและทอนซิล
ที่สำคัญคือ การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ (group A beta-hemolytic streptococcus) ซึ่งก่อให้เกิดทอนซิลอักเสบชนิดเป็นหนอง (exudative tonsillitis) ระยะฟักตัว 2-7 วัน
กลุ่มที่มีสาเหตุจากไวรัส มีอาการเจ็บคอเล็กน้อยถึงปานกลาง และไม่เจ็บมากขึ้นตอนกลืน อาจมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกใส ไอ เสียงแหบ มีไข้ ปวดศีรษะเล็กน้อย ตาแดง บางคนอาจมีอาการท้องเดินหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย การตรวจดูคอจะพบผนังคอหอยแดงเพียงเล็กน้อยหรือไม่ชัดเจน ทอนซิลอาจโตเล็กน้อยมีลักษณะแดงเพียงเล็กน้อยหรือไม่ชัดเจน
ผู้ป่วยที่เป็นทอนซิลอักเสบชนิดเป็นหนอง จะมีอาการไข้สูงเกิดขึ้นฉับพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอมากจนกลืนน้ำลายหรืออาหารลำบาก อาจมีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่หู บางคนอาจมีอาการปวดท้อง หรืออาเจียนร่วมด้วย มักจะไม่มีอาการน้ำมูกไหล ไอ หรือตาแดง แบบการติดเชื้อจากไวรัส
การตรวจดูจะพบผนังคอหอยและเพดานอ่อน มีลักษณะแดงจัดและบวม ทอนซิลบวมโตสีแดงจัด และมีแผ่นหรือจุดหนองสีขาวๆ เหลืองๆ ติดอยู่บนทอนซิล นอกจากนี้ยังอาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองที่ใต้ขากรรไกรบวมโตและเจ็บ
การดำเนินโรค
ถ้าเกิดจากไวรัส ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ มีส่วนน้อยที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา
ถ้าเกิดจากแบคทีเรีย โดยเฉพาะบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ ถ้าได้ยาปฏิชีวนะที่ถูกกับโรค มักจะทุเลาหลังกินยา 48-72 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือได้ไม่ครบ (10 วันสำหรับเพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน) ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
บางคนเมื่อหายดีแล้ว ก็อาจกำเริบได้เป็นครั้งคราว เมื่อร่างกายอ่อนแอ เช่น พักผ่อนไม่พอ เครียด เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน
กลุ่มที่มีสาเหตุจากไวรัส ส่วนใหญ่จะไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนผู้ที่เป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ เป็นต้น
ผู้ป่วยที่เป็นทอนซิลอักเสบชนิดเป็นหนอง อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังนี้
- เชื้ออาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง ทำให้เป็นหูชั้นกลางอักเสบ จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ ฝีที่ทอนซิล
- เชื้ออาจเข้ากระแสเลือดแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ทำให้เป็นข้ออักเสบชนิดเฉียบพลัน กระดูกอักเสบเป็นหนอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmun reaction) กล่าวคือหลังจากติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ ร่างกายจะสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อขึ้นมา แล้วไปก่อปฏิกิริยาต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง ได้แก่ ไข้รูมาติก (มีการอักเสบของข้อและหัวใจ หากปล่อยให้เป็นเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคลิ้นหัวใจพิการ หัวใจวายได้) และหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (มีไข้ บวม ปัสสาวะสีแดง อาจทำให้เกิดภาวะไตวายได้) โรคแทรกเหล่านี้มักเกิดหลังทอนซิลอักเสบ 1-4 สัปดาห์
สำหรับไข้รูมาติก มีโอกาสเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 0.3-3 ของผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงดังกล่าวสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการกินยาปฏิชีวนะให้ครบ 10 วัน (แม้ว่าอาการจะทุเลาหลังกินยาได้ 2-3 วันไปแล้วก็ตาม)
การแยกโรค
อาการไข้และเจ็บคอ อาจมีสาเหตุที่พบได้บ่อยดังนี้
- ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ จะมีไข้ น้ำมูกใส อาการเจ็บคอพบในช่วง 1-2 วันแรก เป็นเพียงเล็กน้อย คล้ายๆ อาการคอแห้งผาก ทอนซิลมักไม่โตหรือโตเพียงเล็กน้อย ลักษณะแดงเพียงเล็กน้อยหรือไม่ชัดเจน
- แผลแอฟทัส (แผลร้อนใน) จะมีอาการกลืนลำบากพูดลำบาก อาจมีไข้ร่วมด้วย การตรวจดูคอจะพบแผลตื้นๆ ตรงบริเวณคอหอย ทอนซิลมักไม่โต อาการเจ็บคอจะเป็นอยู่ 5-10 วัน ก็จะทุเลาไปได้เอง
- คอตีบ จะมีไข้ เจ็บคอ ไอเสียงแหบ หายใจลำบาก ตัวเขียว การตรวจดูคอ จะพบแผ่นหนองสีขาวปนเทาติดอยู่ที่บริเวณผนังคอหอยและทอนซิล จัดว่าเป็นโรคร้ายแรงที่ต้องรีบไปรักษาที่โรงพยาบาล
แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส ก็จะให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้ แก้ไอ แก้หวัด) ซึ่งมักจะหายได้ภายใน 1 สัปดาห์
ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย นอกจากให้ยาบรรเทาตามอาการแล้ว ก็จะให้ยาปฏิชีวนะรักษาด้วย เช่น เพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน อาการมักทุเลาหลังกินยาปฏิชีวนะ 48-72 ชั่วโมง แพทย์จะให้กินยาต่อเนื่องจนครบ 10 วัน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ในปัจจุบันการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะนับว่าได้ผลดี มีน้อยรายที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิล (tonsillectomy) ซึ่งจะทำเฉพาะในรายที่เป็นๆ หายๆ ปีละมากกว่า 4 ครั้ง จนเสียงานหรือหยุดเรียนบ่อย มีการอักเสบของหูชั้นกลางบ่อย หรือก้อนทอนซิลโตจนอุดกั้นทางเดินหายใจ
การวินิจฉัย
มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดงและการตรวจดูคอ ถ้าผนังคอหอยและทอนซิลมีลักษณะแดงเพียงเล็กน้อยหรือไม่ชัดเจน ก็มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส
ถ้าทอนซิลบวมโต แดงจัด และมีแผ่นหรือจุดหนองติดอยู่บนทอนซิล ก็มักจะมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อบีตาฮีโมโลติกสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ
ในรายที่ไม่แน่ใจแพทย์อาจต้องทำการตรวจหาเชื้อจากบริเวณคอหอยและทอนซิล โดยใช้วิธีที่เรียกว่า "rapid strep test" ซึ่งสามารถทราบผลได้ในไม่กี่นาที ถ้าผลการตรวจไม่ชัดเจน ก็อาจต้องทำการเพาะเชื้อซึ่งจะทราบผลใน 1-2 วัน
เมื่อมีอาการไข้และเจ็บคอ ควรทำการตรวจดูคอ โดยการอ้าปากกว้างๆ ใช้ไฟฉายส่องดูภายในลำคอ (ถ้าตรวจดูด้วยตนเองให้ใช้กระจกส่อง)
หากมั่นใจว่าเป็นการติดเชื้อไวรัส เช่น มีน้ำมูกใส เจ็บคอเล็กน้อย ทอนซิลไม่โต หรือโตเพียงเล็กน้อยและแดงไม่ชัดเจน ก็ให้การดูแลเบื้องต้นดังนี้
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ
- ถ้ามีไข้สูงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หลีกเลี่ยงการอาบน้ำเย็น กินยาลดไข้-พาราเซตามอลเป็นครั้งคราว
- ถ้าเจ็บคอมาก ควรกินอาหารอ่อน เช่น น้ำหวาน นม ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่น 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง
ควรไปพบแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- มีอาการเจ็บคอมาก จนกลืนหรือพูดลำบาก
- หายใจหอบ
- ทอนซิลบวมแดงมาก หรือพบมีแผ่นหรือจุดหนองบนทอนซิล
- มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว ต่อเนื่องกันเกิน 24 ชั่วโมง
- มีไข้เกิน 4 วัน
- ดูแลรักษาตนเอง 4 วันแล้วยังไม่ทุเลา
- มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจในการดูแลตนเอง
การป้องกัน
- รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง โดยการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์
- เมื่อมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นทอนซิลอักเสบ (หรือมีไข้ เจ็บคอ) ควรพยายามอย่าอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย และระวังอย่าให้ผู้ป่วยไอหรือจามรด อย่าใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ เพื่อชะล้างเชื้อที่อาจติดมากับมือที่ไปสัมผัสถูกสิ่งของที่แปดเปื้อนของผู้ป่วย
มีอาการเจ็บคอเล็กน้อยถึงปานกลาง และไม่เจ็บตอนกลืน อาจมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกใส ไอ เสียงแหบ มีไข้ ปวดศีรษะเล็กน้อย ตาแดง บางคนอาจมีอาการท้องเดินหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย
อาการไข้และเจ็บคอ ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส รวมทั้งไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาการเจ็บคอจะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่ถ้ามีอาการเจ็บคอมาก จนกลืนหรือพูดลำบากอาจมีสาเหตุจากทอนซิลอักเสบชนิดเป็นหนองจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง มิเช่นนั้นอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
ชื่อภาษาไทย
ทอนซิลอักเสบ, ต่อมทอนซิลอักเสบ
ชื่อภาษาอังกฤษ
Tonsillitis
ความชุก
อาการไข้ เจ็บคอ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป
ส่วนทอนซิลอักเสบเป็นหนอง พบบ่อยในเด็ก อายุ 5-15 ปี อาจพบได้ประปรายในผู้ใหญ่และพบได้น้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ โรคนี้อาจติดต่อในกลุ่มคนที่อยู่ร่วมกันอย่าใกล้ชิดเป็นเวลานาน เช่น ในบ้าน ที่ทำงาน หอพัก โรงเรียน เป็นต้น
- อ่าน 98,121 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้