เกิดจากการติดเชื้อคางทูม ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่มไวรัสพารามิกโซ (paramyxovirus)
เชื้อจะอยู่ในน้ำลายของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอหรือจามใส่กัน หรือโดยการสัมผัสถูกสิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ฯลฯ) ที่ปนเปื้อนเชื้อจากน้ำลายของผู้ป่วย เมื่อเชื้อติดเข้าไปที่จมูกและลำคอก็จะมีการแบ่งตัว แล้วเข้าสู่กระแสโลหิตแพร่ไปยังอวัยวะต่างๆรวมทั้งต่อมน้ำลาย ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายและอวัยวะต่างๆ
ระยะฟักตัวของโรค (นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อจนมีอาการแสดง) 12-25 วัน (ส่วนใหญ่ 16-18 วัน)
ระยะติดต่อ (ระยะที่ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อติดต่อให้คนอื่น) ตั้งแต่ 7 วันก่อนมีอาการจนถึง 9 วัน หลังมีอาการคางทูม
โรคนี้บางครั้งพบมีการระบาดได้
ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร บางคนอาจมีอาการปวดในช่องหูหรือหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืน 1-3 วันต่อมา พบว่าบริเวณข้างหูหรือขากรรไกร มีอาการบวมและปวด อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อกินของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว ผู้ป่วยมักจะรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากเคี้ยวหรือกลืนอาหาร บางคนอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (ถ้ามีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง)
ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ที่เป็นคางทูม จะเกิดอาการคางบวมทั้ง 2 ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก 4-5 วัน ต่อมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้าง
อาการคางบวมจะเป็นมากในช่วง 3 วันแรกแล้วจะค่อยๆ ยุบหายไปใน 4-8 วัน ในช่วงที่บวมมาก ผู้ป่วยจะมีอาการพูดและกลืนลำบาก
บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆ นำมาก่อน หรือมีเพียงอาการไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้เห็นก็ได้
นอกจากนี้พบว่าประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อคางทูม อาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
การดำเนินโรค
ส่วนใหญ่จะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและหายได้เองตามธรรมชาติ อาการไข้จะเป็นอยู่เพียง 1-6 วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน 4-8 วัน (ไม่เกิน 10 วัน) และอาการโดยรวมจะหายสนิทภายใน 2 สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับอวัยวะต่างๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะหายได้เป็นปกติ ส่วนน้อยมากที่อาจมีภาวะเป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบและอัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
ภาวะแทรกซ้อน
เนื่องจากเชื้อสามารถเข้าสู่กระแสโลหิตแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย อาจทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ แทรกซ้อนได้
ที่พบบ่อยคือ อัณฑะอักเสบ จะพบในเด็กวัยรุ่นหรือวัยหนุ่ม (ไม่พบในเด็กเล็ก) ได้ประมาณร้อยละ 20 ผู้ป่วยจะมีไข้สูง อัณฑะบวมและปวดมาก ซึ่งมักจะเป็นหลังอาการคางทูมประมาณ 7-10 วัน ส่วนใหญ่มักเป็นเพียงข้างเดียว ส่วนน้อยเป็น 2 ข้าง บางครั้งอาจทำให้เกิดภาวะอัณฑะฝ่อตามมา แต่อย่างไรก็ตาม มีโอกาสเป็นหมันน้อยมาก
นอกจากนี้ อาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น
- ประสาทหูอักเสบ (พบได้ประมาณ ร้อยละ 4-5 ส่วนใหญ่มักจะอยู่เพียงชั่วคราวแล้วหายไปได้เอง ส่วนน้อยอาจเป็นหูหนวกถาวร
- ตับอ่อนอักเสบ พบได้ประมาณร้อยละ 2-3 ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดท้องมากบริเวณเหนือสะดือ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
- รังไข่อักเสบ ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดท้องน้อย
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือสมองอักเสบ ซึ่งพบได้น้อย (ประมาณ 1 ใน 5,000 คน ถึง 1 ใน 200 คน) ผู้ป่วยจะไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน ซึมหรือชัก ซึ่งอาจเกิดก่อนหรือหลังอาการคางบวมก็ได้
- แท้งบุตร ถ้าติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ ระยะ 3 เดือนแรก ซึ่งก็พบได้น้อย
- ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจพบได้แต่น้อย เช่น ข้ออักเสบ ต่อมไทรอยด์อักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ไตอักเสบ ตับอักเสบ เป็นต้น
การแยกโรค
อาการคางบวม อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- การบาดเจ็บ เช่น ถูกต่อย
- ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง และอาจพบมีต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
- เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดฟัน หรือเหงือกบวม และอาจมีอาการคางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
- ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอหรือใต้คางบวมและปวด และอาจมีไข้ร่วมด้วย เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายอุดตัน (จากการตีบหรือมีก้อนนิ่วน้ำลาย) ผู้ป่วยจะมีก้อนบวมที่คางข้างหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นเรื้อรัง
- ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง จากการติดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมีอาการคล้ายคางทูม แต่ผิวหนังบริเวณคางทูมจะมีลักษณะแดงและเจ็บมาก
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (อาจเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองโดยตรง หรือลุกลามจากกล่องเสียงหรือโพรงหลังจมูก) ผู้ป่วยจะมีก้อนบวมที่ข้างคอ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 เซนติเมตร และไม่มีอาการเจ็บปวด อาจมีอาการเสียงแหบ (ถ้าเป็นมะเร็งกล่องเสียง) หรือคัดจมูกหรือเลือดกำเดาไหล (ถ้าเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูก)
แพทย์จะทำการวินิจฉัย โดยแยกออกจากสาเหตุอื่น ถ้าไม่แน่ใจว่าเป็นคางทูม อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์
ถ้าแน่ใจว่าเป็นคางทูม ก็จะให้การรักษาตามอาการและแนะนำการปฏิบัติในการดูแลตนเองดังกล่าว
ถ้าตรวจพบว่ามีโรคแทรกซ้อน ก็จะให้การรักษา เช่น ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบหรือตับอ่อนอักเสบ ก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ถ้าเป็นอัณฑะอักเสบ ก็จะให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) ประคบด้วยความเย็น บางครั้งอาจพิจารณาให้สตีรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) เพื่อลดการอักเสบที่รุนแรง
การวินิจฉัย
ส่วนใหญ่จะวินิจฉัยจากอาการของโรคเป็นสำคัญ ได้แก่ อาการไข้ และคางบวม ซึ่งจะบวมอยู่ประมาณ 4-8 วัน ถ้ามีประวัติการระบาดของโรคในพื้นที่ที่ผู้ป่วยอยู่อาศัยหรือการสัมผัสใกล้ ชิดกับผู้ที่เป็นคางทูม ก็จะช่วยในการวินิจฉัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในรายที่ไม่แน่ใจ อาจทำการตรวจหาเชื้อจากน้ำลาย หรือตรวจหาระดับแอนติบอดี(ภูมิคุ้มกัน) ในเลือด ซึ่งน้อยครั้งมากที่จะต้องวินิจฉัยโดยวิธีเหล่านี้
เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส และส่วนใหญ่จะไม่มีโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการก็หายได้เอง
เมื่อมีไข้และคางบวม ควรให้การดูแลรักษาตนเอง ดังนี้
- พักผ่อน อย่าตรากตรำงานหนัก
- ดื่มน้ำมากๆ
- เช็ดตัวเวลามีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล ผู้ใหญ่ 1-2 เม็ด เด็ก 1 เม็ด หรือ 1 - 2 ช้อนชา) ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลามีไข้สูงห้าม ใช้แอสไพริน สำหรับคนอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองและตับอย่างรุนแรง เป็นอันตรายได้
- ใช้น้ำอุ่นจัดๆ ประคบตรงบริเวณที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แต่ถ้าปวด ให้ใช้ความเย็น (เช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบบรรเทาปวด
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เคี้ยวยาก ในระยะแรกๆ ควรกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม ซุป
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น เพราะอาจทำให้ปวดมากขึ้น
- ควรหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหาย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้คนอื่น
ควรไปพบแพทย์ ถ้ามีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ปวดศีรษะมาก อาเจียนมากหรือชัก
- อัณฑะบวม
- ปวดท้องมาก
- หูตึงหรือได้ยินไม่ชัดเจน
- เจ็บในคอมากหรือต่อมทอนซิลบวมแดง
- ปวดฟันหรือเหงือกบวม
- อ้าปากลำบากกินไม่ได้
- ก้อนที่บวมมีลักษณะบวมแดงมากหรือปวดมาก
- ดูแลตัวเอง 7 วันแล้ว ก้อนยังไม่ยุบบวมหรือไข้ยังไม่ลด หรือมีอาการกำเริบซ้ำหลังจากหายแล้ว
- มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง
การป้องกัน
สามารถป้องกันโรคนี้ได้ด้วยการฉีดวัคซีนรวมป้องกันหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) ตั้งแต่อายุ 9-12 เดือน และฉีดซ้ำอีก 1 ครั้ง ตอนอายุ 4-6 ขวบ
คางทูมเป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสของต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณข้างหู และอาจรวมทั้งต่อมน้ำลายที่อยู่ใต้ลิ้นและใต้คาง ทำให้เกิดอาการอักเสบบวมของบริเวณคาง ดูคล้ายคางทูม โรคนี้มักจะหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ การรักษาแบบพื้นบ้าน เช่น เขียนเสือที่ข้างแก้ม เสกปูนแดงป้ายหรือใช้ครามป้ายแล้วได้ผล ก็เพราะธรรมชาติของโรคนี้ที่สามารถหายได้เองนั่นเอง อย่างไรก็ตามบางครั้งก็อาจเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ จึงควรเรียนรู้วิธีการรักษาและการป้องกัน
ชื่อภาษาไทย
คางทูม
ชื่อภาษาอังกฤษ
Mumps, Epidemic parotitis
ความชุก
พบมากในเด็กอายุ 6-10 ขวบ มักไม่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ และผู้ใหญ่อายุมากกว่า 40 ปี
สมัยก่อนจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็ก ปัจจุบันมีแนวโน้มลดลง หลังจากมีผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้กันมากขึ้น
- อ่าน 50,104 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้