ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน และอาจมีความสัมพันธ์กับปฏิกิริยาภูมิต้านทานของร่างกาย พบว่าร้อยละ 40 ของผู้ป่วยจะมีประวัติโรคนี้ในครอบครัวจึงเชื่อว่าเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอด ทางกรรมพันธุ์ ส่วนใหญ่จะเกิดอาการขึ้นเอง โดยไม่มีสิ่งกระตุ้น ส่วนน้อยพบว่ามีสิ่งกระตุ้นให้อาการกำเริบ ได้แก่
- ความเครียดทางจิตใจ เช่น ขณะคร่ำเคร่งกับงานหรืออ่านหนังสือสอบ
- การได้รับบาดเจ็บในช่องปาก เช่น เยื่อบุปากหรือลิ้น ถูกกัดหรือถูกแปรงสีฟัน ฟันปลอม หรืออาหารแข็งๆ กระทบกระแทก
- การมีประจำเดือน
- การใช้ยาสีฟันที่เจือสาร sodium lauroyl sulfate หรือ sodium lauroyl sarcosinate
- การแพ้อาหาร เช่น นมวัว เนยแข็ง กาแฟ โคล่า ช็อกโกแลต ผลไม้จำพวกส้ม ของเผ็ด แป้งข้าวสาลี
- การใช้ยา เช่น แอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ อะเลนโดรเนต (alendronate) ที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน
- การเลิกบุหรี่
- ภาวะขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก หรือวิตามินบี
- ภาวะภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเอดส์ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ
ที่สำคัญคือ มีแผลเปื่อยเจ็บในช่องปากเป็นๆ หายๆ อยู่ประจำ เวลามีสิ่งกระตุ้น (เช่น ความเครียด กัดถูก ปากตนเอง การใช้ยาสีฟันหรือยาบางชนิด แพ้อาหารบางชนิด เวลามีประจำเดือน เป็นต้น) หรืออาจอยู่ดีๆ ก็กำเริบขึ้นโดยไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นสิ่งกระตุ้นก็ได้ อาการเจ็บแผลจะเป็นมากใน 2-3 วันแรก และรู้สึกปวดแสบเวลากินอาหารรสเผ็ดหรือเปรี้ยวจัด ถ้าเป็นแผลขนาดใหญ่ อาจเจ็บมากจนกลืนหรือพูดไม่ถนัด เมื่อตรวจดูจะพบแผลในปาก ส่วนใหญ่ (มากกว่า ร้อยละ 80) จะเป็นแผลตื้น ลักษณะกลมหรือรูปไข่ ขนาด 3-5 มิลลิเมตร (ไม่เกิน 1 เซนติเมตร) พื้นแผลมีสีขาวหรือเหลืองและกลายเป็นสีเทาเมื่อใกล้หาย มีวง สีแดงอยู่โดยรอบ ขอบอาจเป็นสีแดง มักพบที่ริมฝีปาก กระพุ้งแก้มและลิ้น (ด้านข้างและด้านใต้) นอกจากนี้ ยังอาจพบที่ลิ้นไก่ ผนังคอหอย พื้นปาก (เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ลิ้นและเหงือก) มักไม่พบที่เหงือก เพดานปาก และ ลิ้น (ด้านบน) อาจเป็นเพียงแผลเดียวหรือหลายแผล (2-5 แผล) พร้อมกัน เรียกว่า แผลแอฟทัสเล็ก (minor aphthous ulcers) ซึ่งจะมีอาการเจ็บปวดไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 7-10 วัน โดยส่วนใหญ่จะไม่เป็นแผล เป็น อาจกำเริบได้ทุก 1-4 เดือน
ส่วนน้อย (ประมาณร้อยละ 10) อาจพบแผลแอฟทัสใหญ่ (major aphthous ulcers) มีลักษณะแบบเดียวกับแผลแอฟทัสเล็ก แต่มีขนาดมากกว่า 1 เซนติเมตร ขึ้นไป ขอบแผลบวม มีอาการเจ็บปวดรุนแรงกว่า นอกจากพบในตำแหน่งเดียวกับแผลแอฟทัสเล็ก ยังอาจพบที่เพดานปาก และลิ้น (ด้านบน) ได้อีกด้วย แผลมักหายช้า (ใช้เวลาประมาณ 10-40 วัน) อาจเป็นแผลเป็นและกำเริบได้บ่อยมาก บางครั้งอาจพบในผู้ป่วยเอดส์ นอกจากนี้ ยังอาจพบแผลแอฟทัสชนิดคล้ายเริม (herpetiform ulceration) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเริม จะพบในกลุ่มคนอายุมากกว่า 2 ชนิดดังกล่าว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แรกเริ่มจะขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก (1-2 มิลลิเมตร) หลายตุ่ม แล้วแตกแผ่รวมเป็นแผลเดียวกันขนาดใหญ่ (คล้ายแผลแอฟทัสใหญ่) มีอาการเจ็บปวดค่อนข้างรุนแรง พบในตำแหน่งต่างๆ ในช่องปากแบบเดียวกับแผลแอฟทัสใหญ่ แผลหายได้เอง แต่ใช้เวลานานกว่า 10 วัน (อาจนานถึง 2 เดือน) ผู้ป่วยมักไม่มีอาการไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ต่อมน้ำเหลืองโตหรืออาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย
การดำเนินโรค
แผลแอฟทัส มักจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว แต่ละครั้งจะเป็นอยู่นาน 7-10 วัน (ไม่เกิน 3 สัปดาห์) อาจกำเริบได้ทุก 1-4 เดือน เมื่ออายุมากขึ้น จะค่อยๆ เป็นห่างออกไปเรื่อยๆ บางคนอาจหายขาดเมื่ออายุมาก สำหรับผู้หญิง ขณะตั้งครรภ์มักจะไม่มีอาการกำเริบจนกว่าจะคลอด โรคนี้ไม่ควรเป็นครั้งแรกในคนอายุมากกว่า 40 ปี ถ้าพบควรตรวจหาสาเหตุ
ภาวะแทรกซ้อน
ส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ถ้าแผลขนาดใหญ่ อาจกลายเป็นแผลเป็น
การแยกโรค
แผลเปื่อยในปากอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ที่พบบ่อย ได้แก่
- แผลเริมในช่องปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เริม ในเด็กเล็กจะมีไข้สูง และมีแผลเปื่อยขึ้นเต็มปาก ตามริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เพดานปาก ทำให้เด็กไม่ยอม ดูดนมหรือกินอาหาร ส่วนในผู้ใหญ่ มักจะขึ้นเป็นแผลเดียวขนาด 3-5 มิลลิเมตร ที่เหงือก หรือเพดานปาก (แผลแอฟทัสมักจะไม่ขึ้นตำแหน่งเหล่านี้) และหายได้เองภายใน 7-10 วัน
- แผลที่เกิดจากการบาดเจ็บ เช่น เผลอกัดถูก ริมฝีปาก หรือลิ้นของตัวเอง ซึ่งมักจะขึ้นเพียงแผลเดียว และหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
- แผลมะเร็งในช่องปากจะขึ้นเป็นแผลหรือก้อนที่ไม่รู้สึกเจ็บ และจะเป็นเรื้อรัง ไม่หาย มักโตขึ้นเรื่อยๆ พบมากในคนอายุมากกว่า 40-50 ปีที่ชอบสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด ฉุกยาฉุน เคี้ยวหมากพลู หรือใช้ยานัตถุ์เป็นประจำ
เมื่อตรวจพบว่าเป็นแผลแอฟทัส แพทย์จะให้การดูแลรักษาตามอาการในลักษณะเดียวกัน ในรายที่เป็นรุนแรง เรื้อรังเกิน 3 สัปดาห์ หรือเป็นๆ หายๆ บ่อย อาจต้องทำการตรวจหาสาเหตุ เช่น ภาวะขาดธาตุเหล็ก กรดโฟลิกหรือวิตามินบี การติดเชื้อเอชไอวี มะเร็งในช่องปากเป็นต้น แล้วให้การรักษาตามสาเหตุ
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการแสดงเป็นหลัก นอกจากในรายที่มีแผลเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์ หรือสงสัยเป็นมะเร็งอาจตัดชิ้นเนื้อเยื่อนำไปพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการ
โรคนี้สามารถดูแลตนเอง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาหารแข็งๆ หรือเคี้ยวยาก
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ โดยผสมเกลือแกง 1 ช้อนชา ในน้ำ 1 แก้ว บ้วนปากวันละ 2-3 ครั้ง ถ้ารู้สึกปวดมาก ให้อมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ดื่มน้ำเย็น หากไม่ได้ผล ให้กินพาราเซตามอลบรรเทา ส่วนใหญ่จะค่อยๆ หายไปได้เองภายใน 7-10 วัน (บางคนอาจนาน 2 สัปดาห์)
- ถ้าปวดรุนแรง หรือต้องการให้แผลหายเร็ว ให้ป้ายด้วยครีมป้ายปากไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ วันละ 2-4 ครั้ง
ควรปรึกษาแพทย์ ถ้าแผลไม่หายใน 3 สัปดาห์ แผลมีขนาดใหญ่ (มากกว่า 1 เซนติเมตร) เจ็บปวดรุนแรง มีไข้ขึ้น อ่อนเพลีย กินอาหารไม่ได้ หรือพบเป็นครั้งแรกในคนอายุมากกว่า 40 ปี
การป้องกัน
ผู้ที่เคยเป็นแผลแอฟทัส ควรป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำบ่อยๆ โดยการปฏิบัติ ดังนี้
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ ยาสีฟัน และยาที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้กำเริบ
- ระวังอย่าเผลอกัดปากตัวเอง เช่น ไม่พูดคุยขณะเคี้ยวอาหาร
- ใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กและขนนุ่ม เพื่อไม่ให้ปากถูกกระทบกระแทก
- ถ้าแผลกำเริบขณะมีประจำเดือน อาจป้องกันด้วยการกินยาเม็ดคุมกำเนิด (ถ้าไม่มีข้อห้าม)
แผลแอฟทัส (ชาวบ้านเรียกแผลร้อนใน) เป็นแผลเปื่อยในปากที่พบได้บ่อย เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเคยเป็นกันมาแล้ว จะมีอาการอยู่หลายวัน แล้วมักจะหายไปได้เอง แต่ก็มักกำเริบขึ้นมาอีก เป็นๆ หายๆ อยู่เรื่อยๆ มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ จัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายนอกจากสร้างความรำคาญ หรือทำให้กินน้ำพริกและของเผ็ดๆไม่ได้อยู่หลายวัน อย่างไรก็ตามถ้าหากเป็นแผลขนาดใหญ่ รุนแรง หรือนานกว่าปกติที่เคยเป็นก็ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ใจ
ชื่อภาษาไทย
แผลแอฟทัส แผลร้อนใน
ชื่อภาษาอังกฤษ
Aphthous ulcer, Canker sore, Recurrent aphthous stomatitis
ความชุก
โรคนี้พบได้ในคนส่วนใหญ่ พบบ่อยในช่วงอายุ 10-40 ปี พบได้น้อยในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
- อ่าน 9,325 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้