โรคนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ซึ่งมีอาการแสดงความรุนแรง และวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนี้
-
สมองขาดเลือดจากการอุดตัน (ischemic stroke) พบได้ปริมาณร้อยละ 80 ของโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่
- หลอดเลือดสมองตีบ (thrombotic stroke) เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ ซึ่งจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย ในที่สุดจะมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นไปอุดตันหลอดเลือด ทำให้เซลล์สมองตายเพราะขาดเลือด มักพบในผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และผู้ที่สูบบุหรี่จัด นอกจากนี้ ก็ยังอาจจะพบในผู้ที่มีรูปร่างอ้วน ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าสูบบุหรี่ร่วมด้วย) และผู้ที่มีอายุมาก (มากกว่า 55 ปี ในผู้ชาย และ 65 ปีในผู้หญิง) โรคหลอดเลือดสมองตีบ เป็นสาเหตุของโรคลมอัมพาตที่พบได้บ่อยกว่าสาเหตุอื่นๆ
- ภาวะลิ่มเลือดหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดสมอง (embolic stroke) มักเกิดจากมีลิ่มเลือดที่อยู่นอกสมอง หลุดลอยตามกระแสเลือดขึ้นไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองทำให้เซลล์สมองตายเพราะขาดเลือดที่พบบ่อยคือ ลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นที่หัวใจในผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เช่น หัวใจเต้นแผ่วระรัวผิดจังหวะ (atrial fibrillation) โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นต้น
- หลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke) พบได้ประมาณร้อยละ 20 ของโรคหลอดเลือดสมอง ถือว่าเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลารวดเร็วได้ มีอัตราตายโดยเฉลี่ยร้อยละ 40-50 ถ้าพบในผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีสาเหตุจากโรคความดันเลือดสูงที่เป็นรุนแรง เนื่องจากขาดการรักษาอย่างจริงจัง หรือเป็นโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากไม่มีอาการผิดปกติ (เปรียบเหมือนภัยมืดที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย) แต่ถ้าพบในวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน ก็อาจมีสาเหตุจากการมีหลอดเลือดแดงที่ผิดปกติในสมอง ซึ่งมักเป็นมาแต่กำเนิด และมาแตกเอาตอนโตขึ้น ทำให้มีเลือดออกในสมอง
บางรายอาจเกิดจากภาวะการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง เช่น เป็นโรคตับแข็ง (ซึ่งไม่สามารถสร้างสารกระตุ้นการแข็งตัวของเลือด) เป็นโรคเลือดบางชนิดที่ทำให้เลือดออกง่าย กินยาแอสไพรินเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด หัวใจและสมอง แต่มีผลข้างเคียงคือ ทำให้มีเลือดออกในสมองได้
บางรายอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือเนื้องอกในสมองที่มีเลือดออก
-
ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมอัมพาต เนื่องจากหลอดเลือดสมองตีบ มักมีประวัติเป็นโรคความดันเลือดสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด อายุมาก อ้วน หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคอัมพาต แล้วอยู่ๆ ก็มีอาการแขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรงลงทันทีทันใด อาจเกิดขึ้นขณะตื่นนอนขณะเดินหรือทำงานอยู่ก็รู้สึกทรุดล้มลงไป (อาจทำให้เข้าใจผิดว่าอาการล้มลงเป็นต้นเหตุทำให้เป็นอัมพาต) ผู้ป่วยอาจจะมีอาการแขนขาชา เกร็งตามแขนขา ตามัว มองเห็นภาพซ้อน พูดไม่ได้หรือพูดอ้อแอ้ ปากเบี้ยว หรือกลืนไม่ได้ร่วมด้วย
บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เห็นบ้านหมุน หรือมีอาการสับสนนำมาก่อนที่จะมีอาการอัมพาตของแขนขา ผู้ป่วยมักมีอาการผิดปกติที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเพียงซีกเดียว กล่าวคือ ถ้าการตีบตันของ หลอดเลือดเกิดขึ้นในสมองซีกขวาก็จะเกิดอัมพาตของแขนขาซีกซ้าย แต่ถ้าการตีบตันของหลอดเลือดเกิดขึ้นที่สมองซีกซ้าย ก็จะมีอาการอัมพาตของแขนขาซีกขวาและบางรายอาจมีอาการพูดไม่ได้ร่วมด้วย (เนื่องจากศูนย์ควบคุมการพูดอยู่ในสมองซีกซ้ายถูกกระทบด้วย)
ผู้ป่วยส่วน มากจะรู้สึกตัวดี หรืออาจจะซึมลงเล็กน้อยยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการหมดสติได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการอัมพาต มักเป็นอยู่นานกว่า 24 ชั่วโมง และอาจจะเป็นอยู่นานเป็นแรมเดือน แรมปี หรือตลอดชีวิต บางรายอาจจะมีอาการอัมพาต ประมาณ 2-30 นาที (น้อยรายอาจเป็นนานเป็นชั่วโมง ไม่เกิน 24 ชั่วโมง) และหายได้เองโดยไม่ได้รับการรักษาใดๆ อาการดังกล่าวเกิดจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ เป็นอาการเตือนนำมาก่อน เป็นโรคอัมพาตประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี - ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมอัมพาตเนื่องจากลิ่มเลือดหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดสมอง จะมีอาการแบบเดียวกับอาการดังกล่าวข้างต้น แต่อาการอัมพาตมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที โดยไม่มีอาการเตือนมาก่อน ผู้ป่วยอาจมีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือเคยผ่าตัดหัวใจมาก่อน
- ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองแตก อาการมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที โดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า บางรายอาจเกิดอาการขณะทำงาน ออกแรงมากๆ หรือขณะร่วมเพศ ผู้ป่วยอาจบ่นปวดศีรษะ รุนแรงหรือปวดศีรษะซีกเดียว อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย แล้วต่อมาก็มีอาการปากเบี้ยวพูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง อาจชักและหมดสติในเวลาอันรวดเร็ว
การดำเนินโรค
ในรายที่เกิดจากสมองขาดเลือดจากลิ่มเลือดอุดตัน ถ้ามีอาการเล็กน้อย และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ก็อาจหายเป็นปกติ หรือฟื้นคืนสภาพได้จนเกือบเป็นปกติ จนช่วยตนเองได้ พูดได้ เดินได้ แต่อาจใช้มือได้ไม่ถนัด
ในรายที่เป็นรุนแรงหรือได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีก็มักจะมีความพิการหรือบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งต้องการการดูแลจากผู้อื่น นั่งรถเข็น หรือใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
ส่วนน้อยที่จะพิการรุนแรงจนต้องนอนแบ็บอยู่บนเตียง และต้องการผู้ดูแลตลอดเวลา หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล โดยทั่วไปการฟื้นตัวของร่างกายมักจะต้องใช้เวลา ถ้าจะดีขึ้นก็จะเริ่มมีอาการดีขึ้นให้เห็นภายใน 2-3 สัปดาห์ และจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถช่วยตนเองได้ หรือหายจนเกือบเป็นปกติ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหลัง 6 เดือนไปแล้ว ก็มักจะพิการอย่างถาวร ซึ่งมากน้อยขึ้นกับความรุนแรงของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ในรายที่เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ผลการรักษาขึ้นกับตำแหน่งและปริมาณของเลือดที่ออก สภาพของผู้ป่วย (อายุ โรคประจำตัว) และการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ถ้าเลือดออกในก้านสมอง จะมีอัตราการตายสูงถึงร้อยละ 90-95 ถ้าก้อนเลือดขนาดใหญ่ และแตกเข้าโพรงสมอง จะมีอัตราการตายถึงร้อยละ 50
ถ้าเลือดออกที่บริเวณผิวสมอง หรือก้อนเลือดขนาดเล็ก และไม่แตกเข้าโพรงสมองจะมีอัตราการตายต่ำ
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หากรอดชีวิตก็มักจะมีความพิการอย่างถาวร บางรายอาจจะกลายสภาพเป็นผัก หรือคนนิทรา อยู่นานหลายปี ในที่สุดมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อต่างๆ
ส่วนผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ซึ่งมักเกิดจากการแตกของหลอดเลือดผิดปกติมาแต่กำเนิด ถ้าแตกตรงตำแหน่งที่ไม่สำคัญ และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องมาตั้งแต่แรก มักจะสามารถฟื้นหายได้เป็นปกติ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดสมอง แม้ว่าร่างกายจะฟื้นตัวได้ดีแต่ก็คงมีโรคลมชักจากแผลเป็นในสมองแทรกซ้อนตามมาได้ ซึ่งต้องกินยากันชักควบคุมอาการตลอดไป
ภาวะแทรกซ้อน
อาจกลายเป็นโรคอัมพาตเรื้อรัง ซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยต่างกันไป ขึ้นกับความรุนแรง และสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ในรายที่ลุกนั่งไม่ได้ หรือนอนแบ็บอยู่บนเตียงนอน อาจเกิดแผลกดทับที่ก้น หลัง หรือข้อต่อต่างๆ บางรายอาจสำลักอาหารเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจหรือปอดอักเสบได้ อาจเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย หรือเป็นแผลถลอกที่กระจกตาดำ นอกจากนี้ อาจมีความเครียดทางจิตใจ หรือโรคซึมเศร้าในผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
การแยกโรค
อาการแขนขาชาหรืออ่อนแรง มักมีสาเหตุจากความผิดปกติของสมองและไขสันหลัง นอกจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมองแล้ว ยังอาจเกิดจากเนื้องอกในสมองหรือไขสันหลัง การติดเชื้อในสมองหรือไขสันหลัง การได้รับบาดเจ็บที่สมองหรือไขสันหลัง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเกิดจากภาวะใดก็ควรส่งตัวผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลทันที
แพทย์มักจะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น
- ถ้าพบว่าเกิดจากสมองขาดเลือดจากลิ่มเลือดอุดกั้น แพทย์อาจให้ยาละลายลิ่มเลือดฉีดเข้าหลอดเลือดดำเพื่อเปิดทางให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองไม่ตายช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนสู่ปกติได้เร็ว ยานี้จะได้ผลดีต้องให้ภายใน 3 ชั่วโมงหลังมีอาการ หลังอาการคงที่แล้วแพทย์จะให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (นิยมให้แอสไพริน ขนาด 75-325 มก. กินทุกวัน) ให้ยาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ยาลดความดันเลือด ยาเบาหวาน ยาลดไขมันในเลือด เป็นต้น ทำการฟื้นฟูร่างกายด้วยการทำกายภาพบำบัด ในรายที่ตรวจพบมีหลอดเลือดแดงที่คอตีบ อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดหลอดเลือด หรือใช้บอลลูนขยายหลอดเลือด
- ถ้าพบว่าเกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ก็ให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น ให้น้ำเกลือใส่ท่อหายใจ และเครื่องช่วยหายใจ ควบคุมความดันเลือด (ถ้าสูงรุนแรง) ในรายที่มีก้อนเลือดในสมอง อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดสมองแบบเร่งด่วน ส่วนในรายที่มีเลือดออกเพียงเล็กน้อย และไม่กดถูกสมองส่วนที่สำคัญ ก็อาจไม่ต้องผ่าตัด เมื่อรักษาจนผู้ป่วยปลอดภัยแล้วก็จะทำการฟื้นฟูร่างกายด้วยการทำกายภาพบำบัด
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการแสดงเป็นหลักและจำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุ โดยการถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคลื่นหัวใจ เจาะหลัง และอื่นๆ
ถ้าพบมีอาการแขนขาเป็นอัมพาต ควรรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาแต่เนิ่นๆ หลังจากได้รับการรักษาจนพ้นระยะอันตราย หรือสามารถกลับไปอยู่บ้านได้ ก็ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และติดตามรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยควรงดบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบซ้ำ
การป้องกัน
- งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด ลดอาหารที่มีไขมันมาก กินผักและผลไม้ให้มากๆ ถ้าน้ำหนักเกินควรลดน้ำหนัก และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบ
- หมั่นตรวจวัดความดันเลือด เบาหวาน ภาวะ ไขมันในเลือด ถ้าพบว่าผิดปกติควรรักษาอย่างจริงจัง เพื่อควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัมพาต
- ถ้าเคยมีอาการอัมพาตชั่วคราวจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ หรือเคยเป็นโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์ และกินยาแอสไพริน หรือยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด ตามแพทย์สั่งเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน
โรคลมอัมพาตหมายถึง อาการแขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรง หรือเป็นอัมพาตขึ้นฉับพลัน มักมีสาเหตุได้หลากหลาย ควรรีบพาผู้ป่วยไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลทันที หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ก็อาจจะช่วยให้หายเป็นปกติหรือลดความรุนแรงลงได้
ชื่อภาษาไทย
โรคลมอัมพาต โรคหลอดเลือดสมอง โรคลมปัจจุบัน อัมพาตครึ่งซีก
ชื่อภาษาอังกฤษ
Stroke, Cerebrovascular accident, Hemiplegia
ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยความดันเลือดสูง เบาหวาน ไขมันเลือดสูง คนอ้วน ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด
โรคนี้นับว่าเป็นสาเหตุของความพิการทางร่างกาย ที่พบได้บ่อยในวัยกลางคนและวัยสูงอายุ
- อ่าน 8,100 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้