เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า "ไวรัสรูบิโอลา (rubeola virus)" ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายโดยการไอ จาม หายใจรดกัน หรือโดยการสัมผัสถูกมือผู้ป่วยหรือสื่อกลาง (เช่น ลูกบิดประตู รีโมต โทรศัพท์ แก้วน้ำ เป็นต้น) ที่ปนเปื้อนเชื้อ แล้วใช้นิ้วมือที่สัมผัสถูกเชื้อนั้น แคะจมูก หรือขยี้ตา เชื้อก็จะผ่านเยื่อเมือกเข้าไปในทางเดินหายใจ
ระยะฟักตัวของโรค 9-11 วัน
มักพบระบาดในโรงเรียนและชุมชนในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน
แรกเริ่มมักมีอาการไข้สูง น้ำมูกใส ไอ แบบเดียวกับไข้หวัด แตกต่างจากไข้หวัดตรงที่ผู้ที่เป็นหัดจะมีไข้สูงตลอดเวลา กินยาลดไข้ก็ไม่สร่าง หน้าแดง ตาแดง ซึม เบื่ออาหาร เด็กเล็กมักจะมีอาการร้องงอแง
หลังมีไข้ 1-2 วัน จะมีผื่นขึ้นที่กระพุ้งแก้ม 2 ข้าง พบเป็นจุดสีขาวๆ เหลืองๆ ขนาดเล็กคล้ายเมล็ดงา เห็นชัดตรงเยื่อบุกระพุ้งแก้มในบริเวณใกล้ฟันกรามล่าง สามารถตรวจพบโดยใช้ไฟฉายส่องดู (อาจใช้ไม้กดลิ้นหรือด้ามช้อนช่วยดันกระพุ้งแก้ม เพื่อให้เห็นได้ชัด) ผื่นที่กระพุ้งแก้มนี้ภาษาแพทย์เรียกว่า "จุดค็อปลิก (koplik's spots)" ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของโรคหัด
หลังมีไข้ 3-4 วัน จะพบผื่นขึ้นตามผิวหนัง ลักษณะเป็นผื่นแดงราบขนาดเท่าหัวเข็มหมุด ขณะรีดหนังให้ตึงจะจางหายชั่วคราว ขึ้นที่ตีนผมและซอกคอก่อน ต่อมาจะลามไปตามหน้าผาก ใบหน้า ลำตัว และแขนขา โดยจะค่อยๆ แผ่ติดกันเป็นแผ่นกว้าง บางคนอาจมีความรู้สึกคันเล็กน้อย ผื่นของหัดจะไม่จางหายไปทันทีทันใดเช่นไข้ออกผื่นอื่นๆ (เช่น หัดเยอรมัน ส่าไข้) แต่จะค่อยๆ จางลงทีละน้อยภายใน 4-7 วัน เหลือให้เห็นเป็นรอยแต้มสีคล้ำๆ (ดูคล้ายผิวที่มีขี้ไคลติด) บางคนอาจมีอาการหนังลอกตามมาได้
ส่วนอาการไข้ (ตัวร้อน) จะขึ้นสูงสุดใกล้ๆ มีผื่นขึ้นและจะเริ่มทุเลาลงเมื่อผื่นขึ้นแล้ว ไข้มักจะเป็นอยู่นานประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะหายไปได้เอง (ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กินยาอะไรก็ไม่ลด)
อาการทั่วไปจะค่อยๆ ดีขึ้น พร้อมๆ กับผื่นที่จางลง แต่อาจมีอาการไอต่อไปได้อีกหลายวัน
การดำเนินโรค
ส่วนใหญ่มักจะเป็นอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ไข้จะทุเลาไปได้เอง และอาการออกผื่นจะค่อยๆ จางหายไปภายใน 4-7 วันหลังผื่นขึ้น ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อน (ดูหัวข้อ "ภาวะแทรกซ้อน")
ภาวะแทรกซ้อน
มักพบในเด็กที่ขาดอาหารหรือมีภูมิต้านทานต่ำ
ที่พบบ่อยคือ ปอดอักเสบ ท้องเดิน
อาจพบหูชั้นกลางอักเสบ ปากเปื่อย หลอดลมอักเสบ เยื่อตาขาวอักเสบ
ที่รุนแรงถึงตายได้ คือ สมองอักเสบ ซึ่งพบได้น้อย นอกจากนี้ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง มีโอกาสเป็นวัณโรคปอดได้ง่ายขึ้น ถ้ามีเชื้อมาลาเรียอยู่ก่อนก็อาจเป็นไข้มาลาเรียชนิดรุนแรงได้
เด็กบางคนที่เบื่ออาหาร หรืองดอาหารโปรตีน (ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นของแสลง) ก็อาจกลายเป็นโรคขาดอาหารได้
การแยกโรค
ในระยะแรกเริ่ม ขณะที่มีเพียงอาการไข้ น้ำมูกไหล ไอ โดยยังไม่มีผื่นขึ้น ควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
- ไข้หวัด จะมีอาการไข้เป็นพักๆ น้ำมูกไหล ไอแห้งๆ โดยที่อาการทั่วไปค่อนข้างดี ไม่ซึม ไม่เบื่ออาหาร ช่วงที่ไข้ลง (ตัวเย็น) ก็จะรู้สึกค่อนข้างสุขสบาย ไข้มักจะเป็นอยู่ 2-4 วัน ก็จะทุเลาไปได้เอง
- ไข้หวัดใหญ่ จะมีไข้สูง ปวดเมื่อยมาก น้ำมูกไหล ไอ ซึม เบื่ออาหาร หน้าแดง ตาแดง คล้ายหัดมาก แยกออกจากหัด โดยที่ตรวจไม่พบผื่นในกระพุ้งแก้ม (หลังมีไข้ 1-2 วัน) และไม่มีผื่นขึ้นตามตัว (หลังมีไข้ 3-4 วัน) โดยทั่วไปอาการไข้มักจะเป็นอยู่ 3-5 วัน
- ปอดอักเสบ จะมีไข้สูง เจ็บหน้าอก หายใจ หอบเร็ว ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว
- ไข้เลือดออก จะมีไข้สูงตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง ซึม เบื่ออาหาร คล้ายหัด แต่มักจะไม่มี อาการน้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ มักพบระบาด ในช่วงหน้าฝน
ในระยะที่มีผื่นขึ้นตามตัว ควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
- ส่าไข้ จะมีไข้สูงตลอดเวลา โดยไม่มีอาการอื่นๆ ให้เห็นชัดเจน 3-5 วัน ต่อมาไข้จะลดลงเอง หลังไข้ลดไม่กี่ชั่วโมง จะมีผื่นแดงขึ้นตามตัว ตอนผื่นขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกสุขสบายเป็นปกติ และผื่นจะจางหายไปภายใน 2 วัน มักพบในเด็กเล็กอายุไม่เกิน 3 ขวบ (พบมากในช่วง 6-18 เดือน)
- หัดเยอรมัน จะมีผื่นแดงขึ้นตามใบหน้า ลำตัว และแขนขา แบบเดียวกับผื่นของหัด โดยที่อาจมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้ ผื่นอาจขึ้นพร้อมไข้ ก่อนหรือหลังมีไข้ก็ได้ ผู้ป่วยค่อนข้างจะสบายดี กินได้ ทำงานได้ ลักษณะจำเพาะก็คือ จะตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณหลังหู หลังคอ ท้ายทอย และข้างคอทั้ง 2 ข้าง
- ไข้เลือดออก จะมีไข้สูงตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง ซึม เบื่ออาหาร หลังมีไข้ 2-3 วัน อาจมีผื่นแดงขึ้นตามลำตัวและแขนขา ซึ่งจะขึ้นอยู่ 2-3 วัน ก็จางหาย บางคนอาจพบมีจุดเลือดออกลักษณะเป็นจุดแดงเล็กๆ (รีดหนังให้ตึง ไม่จาง หาย)
- ผื่นจากยา จะมีผื่นแดงขึ้นตามใบหน้า ลำตัว และแขนขา โดยเกิดขึ้นหลังกินยารักษาอาการไม่สบาย (เช่น เป็นไข้ ไข้หวัด เจ็บคอ ไอ ท้องเสีย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยาปฏิชีวนะ ผื่นอาจมีอาการคันหรือไม่ก็ได้
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการซักถามอาการและตรวจร่างกายเป็นหลัก ถ้าพบว่าเป็นโรคหัด ก็จะให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้) และแนะนำการปฏิบัติตัวต่างๆ
แพทย์จะหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ (ยกเว้นมีข้อบ่งชี้ เช่น มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือมีหูชั้นกลางอักเสบแทรกซ้อน) เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอักเสบชนิดร้ายแรงแทรกซ้อนได้
การวินิจฉัย
แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคหัดจากอาการแสดง ได้แก่ การตรวจพบผื่นในกระพุ้งแก้ม (จุดค็อปลิก) และผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ซึ่งขึ้น หลังมีไข้ 3-4 วัน ร่วมกับอาการไข้สูงตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง และอาการเป็นหวัด ไอ
ในกรณีที่แยกไม่ได้ชัดเจนจากไข้เลือดออก หรือปอดอักเสบ อาจจำเป็นต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด เป็นต้น
- ขณะมีไข้สูง ให้ทำการเช็ดตัว และดื่มน้ำมากๆ
- ถ้าเบื่ออาหาร ให้ดื่มนม น้ำหวาน น้ำผลไม้
- ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง (สำหรับโรคหัด ยาลดไข้อาจไม่ช่วยบรรเทาอาการไข้ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของโรคนี้ ก็ไม่ควรกินยาถี่กว่าที่แนะนำ)
- ถ้าไอมาก ให้จิบน้ำอุ่น หรือน้ำผึ้งผสมมะนาว
ควรไปพบแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- มีอาการหายใจหอบเร็ว ปวดท้องมาก ชัก มีเลือดออก ซึมมาก หรือกระสับกระส่าย
- มีน้ำมูก หรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว เจ็บหู ตาแฉะ
- กินไม่ได้ อาเจียน ดื่มน้ำได้น้อย หรือท้องเดินมาก
- มีไข้สูงเกิน 4 วันแล้วยังไม่มีผื่นขึ้น
- สงสัยเป็นไข้เลือดออก ปวดอักเสบ หรือผื่นจากยา
- มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลรักษาตนเอง
การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน เมื่อเด็กอายุได้ 9-12 เดือน ฉีดเพียงเข็มเดียวป้องกันได้ตลอดไป
หัด เป็นโรคที่มีอาการไข้ผื่นขึ้น เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่าย มักเป็นอยู่นาน 1 สัปดาห์ ก็จะหายได้เอง แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันจึงไม่ค่อยมีการระบาดเช่นสมัยก่อน
ชื่อภาษาไทย
หัด
ชื่อภาษาอังกฤษ
Measles
ความชุก
พบมากในเด็กอายุ 2-14 ปี มักไม่พบในทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน (เนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากมารดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา) ในผู้ใหญ่ก็พบได้ประปราย ในปัจจุบันพบโรคนี้ได้น้อยลงเนื่องจากมีการฉีดวัคซีนป้องกันหัดอย่างทั่วถึงมากขึ้น
- อ่าน 10,880 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้