เกิดจากสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบของน้ำดี มีสัดส่วนที่ไม่สมดุลกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือมีปริมาณโคเลสเตอรอลในน้ำดีมากผิดปกติ (มักไม่เกี่ยวกับการมีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูง) ทำให้เกิดนิ่วชนิดโคเลสเตอรอล (cholesterol stone) ส่วนในรายที่ปริมาณสารบิลิรูบิน (bilirubin เป็นสารสีเหลืองที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง) มากผิดปกติ ก็ทำให้เกิดนิ่วชนิดเม็ดสี (pigment stone) บางคนอาจมีสารบิลิรูบินจับกันเป็นผลึก โคเลสเตอรอล กลายเป็นนิ่วชนิดผสม
ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วน้ำดี ได้แก่
- มีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นนิ่วน้ำดี
- ผู้หญิงมีโอกาสเป็นนิ่วมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่า ทั้งนี้เกี่ยวกับฮอร์โมนเพศหญิง และภาวะตั้งครรภ์ ซึ่งส่งเสริมให้เป็นนิ่วได้ง่ายขึ้น
- กินยาคุมกำเนิด
- ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน จะเพิ่มปริมาณโคเลสเตอรอลในน้ำดี
- การกินอาหารที่มีไขมันสูง หรือน้ำตาลสูง และขาดการออกกำลัง
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้นๆ
- การป่วยเป็นเบาหวาน
- การมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เช่นผู้ที่เป็นโรคทาลัสซีเมีย ซึ่งมีเม็ดเลือดแดงผิดปกติและแตกง่าย
- อายุมาก นิ่วน้ำดีจะพบมากขึ้นตามอายุ (ในสหรัฐอเมริกา พบว่าคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นนิ่วน้ำดีถึงร้อยละ 20)
ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดนิ่วน้ำดี ด้วยการเพิ่มปริมาณของโคเลสเตอรอล หรือบิลิรูบินในน้ำดีให้มีสัดส่วนสูงกว่าปกติ และปัจจัยบางส่วนก็ทำให้ถุงน้ำดีบีบขับน้ำดีได้น้อยลง ทำให้น้ำดีคั่งค้าง และจับเป็นผลึกนิ่ว
ผู้ที่เป็นนิ่วน้ำดีจำนวนไม่น้อยจะไม่มีอาการแสดง (รู้สึกปกติเหมือนคนทั่วไป ทั้งนี้อาจเป็นก้อนนิ่วขนาดเล็ก หรือฝังตัวอยู่ลึกในก้นถุงน้ำดี) และมักจะตรวจพบโดยบังเอิญเมื่อแพทย์ทำการตรวจเช็กสุขภาพทั่วไป หรือตรวจหาโรคอื่น ในรายที่ก้อนนิ่วออกมาอุดกั้นตรงบริเวณท่อน้ำดี ก็จะมีอาการปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรง (อาจมีลักษณะปวดบิดเกร็ง) ตรงบริเวณใต้ชายโครงขวาและลิ้นปี่ อาจปวดร้าวไปที่ไหล่ขวา และใต้สะบักขวา และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย อาการปวดท้องมักเกิดหลังกินอาหารมัน หรือตอนกลางดึก แต่ละครั้งจะปวดนาน 15-30 นาที บางคนอาจนาน 2-6 ชั่วโมง และจะทุเลาไปเอง เมื่อเว้นไปนาน เป็นแรมสัปดาห์แรมเดือนหรือแรมปี ก็อาจกำเริบได้อีก (ถ้าปวดท้องทุกวัน มักจะไม่ใช่เป็นนิ่วน้ำดี) บางคนอาจมีอาการจุกแน่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง หลังกินอาหารมัน เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง
การดำเนินโรค
ในรายที่เป็นนิ่วน้ำดีชนิดไม่มีอาการ จะรู้สึกสบายดี และไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยกลุ่มนี้โดยเฉลี่ยทุกๆ 100 คน จะมีอาการปวดท้องเกิดขึ้นประมาณปีละ 1-2 คน ส่วนในรายที่เป็นนิ่วน้ำดีชนิดมีอาการ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นตามมาในภายหลัง ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด หลังผ่าตัดมักจะหายเป็นปกติ ยกเว้นบางรายอาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อย ซึ่งจะค่อยๆ ทุเลาไปได้เองเป็นส่วนใหญ่
ภาวะแทรกซ้อน
ถ้าเป็นนิ่วน้ำดีชนิดไม่มีอาการ มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไรตามมา แต่ถ้ามีอาการปวดท้องเนื่องเพราะนิ่วน้ำดี หากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดโรคถุงน้ำดีอักเสบ หรือท่อน้ำดีอักเสบ (มีไข้ หนาวสั่น ปวดท้องรุนแรง ดีซ่าน) บางรายอาจเกิดโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน) นอกจากนี้ ยังอาจกลายเป็นมะเร็งถุงน้ำดี แม้ว่าผู้ที่เป็นมะเร็งถุงน้ำดี มักตรวจพบว่าเป็นนิ่วน้ำดีร่วมด้วยถึงร้อยละ 75-90 แต่ผู้ที่เป็นนิ่วน้ำดีส่วนใหญ่จะไม่กลายเป็นมะเร็งถุงน้ำดีตามมา
การแยกโรค
อาการปวดตรงบริเวณเหนือสะดือ (ใต้ชายโครงและลิ้นปี่) อาจมีสาเหตุจากโรคอื่นๆ เช่น
- โรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น (แผลเพ็ปติก) จะมีอาการแสบท้องเวลาหิวและจุกแน่นเวลาอิ่ม นานครั้งละ 30-60 นาที มักเป็นอยู่ทุกวันหรือทุกมื้อ เมื่อกินยาต้านกรดจะทุเลาได้
- โรคน้ำย่อยไหลกลับ (โรคเกิร์ด) จะมีอาการแสบตรงลิ้นปี่นานเกือบตลอดวัน และอาจเรอเปรี้ยวขึ้นไปที่ลำคอมักเป็นหลังกินอาหารมัน กาเฟอีน แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต น้ำคั้นผลไม้เปรี้ยว หรือเวลากินอิ่มจัดๆ หรือนอนราบหลังกินข้าวใหม่ๆ
- โรคตับ (เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง) จะมีอาการจุกแน่นใต้ชายโครงขวา อ่อนเพลีย ตาเหลือง ตัวเหลือง (ดีซ่าน) มักเป็นติดต่อกันนานหลายวัน
- ถุงน้ำดีอักเสบ จะมีไข้สูง หนาวสั่น ดีซ่าน ปวดและกดเจ็บตรงใต้ชายโครงขวา
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ จะมีอาการจุกลิ้นปี่ และปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ขากรรไกร ไหล่หรือต้นแขน นาน 2-5 นาที มักเป็นหลังออกแรง เครียดหลังกินอิ่ม หรือสูบบุหรี่ มักพบในคนอายุมากกว่า 40-50 ปี หรือในคนที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง คนอ้วน หรือคนที่สูบบุหรี่จัด
ถ้าเป็นนิ่วน้ำดีชนิดไม่มีอาการ คือแพทย์ตรวจพบโดยบังเอิญ (เรียกว่า "silent stone") ก็ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาแต่อย่างใด เนื่องเพราะมักเป็นนิ่วก้อนไม่ใหญ่ และอยู่ลึกที่ก้นถุงน้ำดี ซึ่งไม่ก่อเกิดอันตราย ต่อผู้ป่วย แพทย์จะนัดติดตามดูเป็นระยะ จนกว่าจะมีอาการชัดเจน (เช่น ปวดท้อง) จึงค่อยทำการผ่าตัด แต่ถ้าเป็นนิ่วน้ำดีที่มีอาการปวดท้อง หรือจุกแน่นท้อง แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาก้อนนิ่วและถุงน้ำดีออก
ในปัจจุบันนิยมใช้กล้องส่องเข้าทางหน้าท้อง แล้วทำการผ่าตัดผ่านกล้องส่อง จะเกิดแผลเล็กน้อย ร่างกายฟื้นตัวเร็ว สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติภายในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังผ่าตัด ผู้ป่วยอาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อย ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นได้เอง แต่ถ้ายังถ่ายบ่อย แนะนำให้ลดอาหารมันและของเผ็ด กินผักผลไม้ให้มากๆ ในรายที่มีข้อจำกัดไม่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์อาจให้กินยาละลายนิ่ว ซึ่งจะได้ผลเฉพาะนิ่วชนิดโคเลสเตอรอลขนาดเล็ก บางรายแพทย์อาจรักษาโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสลายนิ่ว แล้วให้กินยาละลายนิ่วตาม
การวินิจฉัย
ในรายที่สงสัยเป็นนิ่วน้ำดี แพทย์จะทำการตรวจพิเศษได้แก่ การถ่ายภาพด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ อัลตราซาวนด์ (ultrasound) บางครั้งอาจจำเป็นต้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือส่องกล้องเข้าไปตรวจภายในช่องท้อง หากสงสัยเป็นโรคแผลเพ็ปติก หรือโรคเกิร์ด อาจต้องส่องกล้องตรวจหลอดอาหาร กระเพาะลำไส้ หากสงสัยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาจทำการตรวจคลื่นหัวใจ นอกจากนี้ อาจทำการตรวจเลือด และอื่นๆ ตามสาเหตุที่สงสัย
หากมีอาการจุกแน่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง ให้กินยาต้านกรดชนิดน้ำขาว 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร และก่อนนอน ถ้าได้ผลให้กินนานประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ถ้ากินแล้วไม่ทุเลา หรือมีอาการกำเริบใหม่ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์
หากมีอาการข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ก็ควรรีบไปพบแพทย์
- ปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรง
- อาเจียน
- มีไข้
- ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง)
- อ่อนเพลีย
- น้ำหนักลด
- มีอาการจุกแน่นลิ้นปี่ และร้าวขึ้นคอ ขากรรไกร ไหล่ หรือต้นแขน
- มีอาการท้องอืดเฟ้อ กินยาต้านกรดแล้วไม่ทุเลา
- มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลรักษาตนเอง
การป้องกัน
โรคนี้ไม่สามารถป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ อย่าให้น้ำหนักเกิน
- ในรายที่น้ำหนักเกิน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย อย่าลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ลดการกินอาหารมัน และควรกินผักผลไม้ให้มากๆ
ถุงน้ำดี มีหน้าที่เก็บสะสมน้ำดีที่ตับสร้าง ไว้ใช้ประโยชน์ในการย่อยอาหารไขมัน น้ำดีประกอบด้วยสารโคเลสเตอรอล กรดน้ำดี สารฟอสโฟไลปิด และสารอื่นๆ ในบางคนสารเคมีเหล่านี้จะมีสัดส่วนที่ไม่สมดุลกัน เป็นเหตุให้ตกผลึกจนจับตัวเป็นก้อนนิ่วขึ้นได้ ก้อนนิ่วอาจมีขนาดเท่าเม็ดทรายจนถึงลูกปิงปอง จำนวนอาจมีเพียงก้อนเดียวหรือหลายก้อนก็ได้ บางคนอาจมีก้อนนิ่วขนาดเม็ดทรายเป็น 100 เม็ดก็ได้
ในรายที่มีอาการปวดท้องจากนิ่วน้ำดี จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด หากปล่อยทิ้งไว้อาจมีโรคแทรกซ้อนตามมาได้
ชื่อภาษาไทย
นิ่วน้ำดี, นิ่วในถุงน้ำดี
ชื่อภาษาอังกฤษ
Gallstones, Cholelithiasis
- อ่าน 18,491 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้