Vermiform appendix เป็นส่วนของลำไส้ มีความยาวประมาณ 3-4 นิ้ว ที่ยื่นออกมาจากส่วนต้นของลำไส้ใหญ่ (cecum) อยู่ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวาภายในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ไส้ติ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลง และไม่ได้ทำหน้าที่ในการย่อยและดูดซึมอาหาร
ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากมีภาวะอุดกั้นของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกั้นนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากมีเศษอุจจาระแข็งๆ เรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith) ชิ้นเล็กๆ ตกลงไปอุดกั้นอยู่ภายในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งจำนวนน้อยเกิดการเจริญแพร่พันธุ์และรุกล้ำเข้าไปในผนังไส้ติ่งจนเกิดการอักเสบตามมา หากปล่อยไว้เพียงไม่กี่วันผนังไส้ติ่งก็เกิดการเน่าตายและแตกทะลุได้
สาเหตุที่อาจพบได้แต่ป็นส่วนน้อย ก็คือ มีการอุดกั้นของรูไส้ติ่งจากสิ่งแปลกปลอม ก้อนเนื้องอก หรือหนอนพยาธิ (พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้าย) ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ป่วยแต่ละคน ไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ให้คนข้างเคียงแต่อย่างใด
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องที่มีลักษณะต่อเนื่องและปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็มักจะปวดอยู่นานหลายวัน จนผู้ป่วยทนปวดไม่ไหวต้องพาส่งโรงพยาบาลแรกเริ่มอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่คล้าย โรคกระเพาะ บางคนอาจปวดบิดเป็นพักๆ รอบๆ สะดือ คล้ายอาการปวดแบบท้องเสีย อาจเข้าส้วมบ่อย แต่ถ่ายไม่ออก (แต่บางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย) ต่อมาจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารร่วมด้วย อาการปวดท้องมักจะไม่ทุเลา แม้ว่าจะกินยาแก้ปวดอะไรก็ตาม ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา และจะเจ็บมากขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม ผู้ป่วยจะนอนนิ่งๆ ถ้าเป็นมากผู้ป่วยจะนอนงอขา ตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น
เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งชัดเจน มีวิธีตรวจอย่างง่ายๆ คือ ให้ผู้ป่วยนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆ หรือใช้กำปั้นทุบเบาๆ ตรงบริเวณไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา) ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) ผู้ป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ (วัดปรอทพบอุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) อย่างไรก็ตาม พบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบ อาจไม่มีอาการตรงไปตรงมา (ตามแบบฉบับ) ดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ อาจมีอาการปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อยขวา โดยไม่มีอาการอย่างอื่นนำมาก่อนก็ได้
ส่วนในเด็กเล็ก อาการอาจไม่ชัดเจนอาจมีอาการปวดท้องทั่วๆ ไป โดยไม่พบว่ามีอาการกดเจ็บตรงบริเวณไส้ติ่งก็ได้
ในคนสูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ อาการปวดท้องจะเป็นไม่รุนแรง และอาจไม่มีอาการกดเจ็บเช่นกัน อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นก็มักจะมีอาการปวดท้องนานเกิน 6 ชั่วโมง หากพบลักษณะนี้ก็ควรจะปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
การดำเนินโรค
ถ้าได้รับการผ่าตัดภายใน 24-36 ชั่วโมง มักจะไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน และตัดไหมหลังผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนาน ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น และหลังผ่าตัดอาจมีการติดเชื้อของแผลผ่าตัดแทรกซ้อน ทำให้เกิดความยุ่งยากในการรักษาได้
ภาวะแทรกซ้อน
ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัด ไส้ติ่งอาจเน่าและแตกทะลุภายใน 24-36 ชั่วโมง หลังมีอาการบางคนอาจกลายเป็นฝีรอบๆ ไส้ติ่ง ภาวะแทรกซ้อนมักพบบ่อยในเด็กเล็ก คนสูงอายุ และผู้ป่วยเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาได้ทันกาล ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้แต่ถ้าได้รับการผ่าตัดรักษาอย่างถูกต้อง โอกาสตายก็นับว่าน้อยมาก
การแยกโรค
ในระยะแรกเริ่มที่มีอาการปวดตรงลิ้นปี่ หรือรอบๆ สะดือ อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
- โรคกระเพาะจะมีอาการจุกแน่น หรือปวดแสบตรงลิ้นปี่มักมีอาการตอนก่อนหรือหลังกินข้าว และมักจะเป็นอยู่นานครึ่งชั่วโมง 1 ชั่วโมงแล้วก็จะทุเลาไป แต่จะกลับมากำเริบเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป อาการมักจะทุเลาได้ด้วยการกินยาลดกรด
- นิ่วในถุงน้ำดี (นิ่วน้ำดี) จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ตรงลิ้นปี่ และใต้ชายโครงขวานานเป็นชั่วโมงๆ คลื่นไส้ อาเจียน อาการอาจ ทุเลาไปได้เอง แต่อาจกำเริบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกินอาหารมันๆ
-
ท้องเดิน มีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ รอบๆ สะดือ ร่วมกับถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหรือมีไข้ร่วมด้วย
ทั้ง 3 สาเหตุนี้ ไม่มีอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ถ้ามีก็ควรสงสัยว่าอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบก็ได้ - กระเพาะเป็นแผลทะลุ จะมีอาการปวดรุนแรงตรงบริเวณลิ้นปี่ติดต่อกันเกิน 6 ชั่วโมง ใจหวิว ใจสั่น บริเวณที่ปวดจะกดเจ็บและแข็งตึง หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์
- กระเพาะลำไส้อุดกั้น จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ทั่วท้อง อาเจียนบ่อย นานเป็นวันๆ มักกินอาหารไม่ลง (จะอาเจียนทุกครั้ง) และถ่ายไม่ออก (ท้องผูก) อาจมีประวัติการผ่าตัดในช่องท้องมาก่อน หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์
ในรายที่มีอาการปวดตรงท้องน้อยข้างขวา อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
- ครรภ์นอกมดลูก จะมีอาการปวดเสียดท้องน้อย หน้ามืด เป็นลม ใจสั่น หน้าตาซีดเซียว และมีประวัติขาดประจำเดือน หรือมีอาการแพ้ท้องมาก่อนหน้านี้ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบไปโรงพยาบาล
- นิ่วในท่อไต จะมีอาการปวดเกร็งเป็นพักๆ ตรงท้องน้อย และปวดร้าวลงมาที่อัณฑะหรือช่องคลอดข้างเดียวกันจะไม่มีอาการกดเจ็บ หากสงสัยก็ควรรีบไปพบแพทย์
- ปวดประจำเดือน จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ตรงท้องน้อย เวลามีประจำเดือนอยู่ 3-4 วัน ก็จะหายไปเอง มักเป็นๆ หายๆ เวลามีประจำเดือนทุกเดือน จะไม่มีอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา และไม่มีไข้ แต่ถ้าปวดรุนแรงและกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ก็ควรรีบไปพบแพทย์
- ปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน จะมีไข้สูง ปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อย อาจมีอาการขัดเบา ตกขาวร่วมด้วย หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์
- กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดและเคาะเจ็บตรงสีข้าง ปัสสาวะขุ่น อาจมีอาการขัดเบาร่วมด้วยหากสงสัยก็ควรรีบไปพบแพทย์
ถ้าตรวจพบว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ แพทย์จะทำการผ่าตัดไส้ติ่งอย่างเร่งด่วน (ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน การผ่าตัดใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง อาจให้อยู่โรงพยาบาลประมาณ 3-5 วัน แล้วกลับไปพักฟื้นที่บ้าน และจะนัดมาตัดไหมหลังผ่าตัด 1 สัปดาห์
ในรายที่พบว่ามีไส้ติ่งแตก (เพราะปล่อยให้เป็นอยู่นานกว่าจะพบแพทย์) แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย หลังผ่าตัดอาจต้องมีวิธีการดูแลรักษาแผลผ่าตัดเป็นการพิเศษแตกต่างจาก ไส้ติ่งอักเสบที่ยังไม่แตก และต้องให้อยู่พักรักษาในโรงพยาบาลนานกว่าปกติส่วนในรายที่มีอาการไม่ชัดเจน แพทย์อาจรับไว้ในโรงพยาบาล เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าต่อมาอาการชัดเจนว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ก็จะรีบทำการผ่าตัด
การวินิจฉัย
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้อง แพทย์จะใช้มืดกดหรือเคาะตรงบริเวณไส้ติ่ง ถ้าพบว่ามีอาการเจ็บปวดมากขึ้น ก็มักจะสงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบไว้ก่อน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม คือสวมถุงมือแล้วใช้นิ้วสอดเข้าทวารหนัก ถ้าพบว่าเมื่อแยงไปที่ปลายไส้ติ่งแล้วมีอาการเจ็บมาก ก็เพิ่มน้ำหนักของการวินิจฉัยโรคนี้นอกจากนี้ อาจทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด (พบว่ามีปริมาณเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ), ตรวจปัสสาวะ (พบว่ามีเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว ซึ่งปกติไม่ควรมี), เอกซเรย์, ตรวจอัลตราซาวนด์ (อาจพบก้อนฝีรอบๆ ไส้ติ่ง) เป็นต้น
เมื่อมีอาการปวดท้องที่มีลักษณะไม่เหมือนอาการปวดโรคกระเพาะ ท้องเดิน หรือปวดประจำเดือนอย่างที่เคยเป็นมา ก็พึงให้สงสัยว่าอาจมีสาเหตุร้ายแรง โดยทั่วไปควรรีบไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
- ปวดรุนแรง หรือปวดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
- กดหรือเคาะเจ็บตรงบริเวณที่ปวด
- อาเจียนบ่อย กินอะไรก็ออกหมด
- มีอาการหน้ามืด เป็นลม ใจหวิว ใจสั่น
- มีไข้สูง หรือหนาวสั่น
- หน้าตาซีดเหลือง
- กินยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ทุเลาหรือกลับรุนแรงขึ้น
ข้อสำคัญผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกร่วมด้วยถ้าพบว่ามีอาการปวดท้องรุนแรงกว่าปกติ ก็ห้ามกินยาถ่าย หรือทำการสวนทวาร และถ้าสงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบก็ควรจะงดกินอาหารและน้ำ เพื่อเตรียมตัวให้แพทย์ผ่าตัด
การป้องกัน
เนื่องจากยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างทำให้เป็นโรคนี้ จึงไม่อาจแนะนำวิธีป้องกันโรคนี้ได้
มีข้อสังเกตว่า ประชากรที่นิยมกินอาหารพวกผักผลไม้มาก (เช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่กินผักผลไม้น้อย (เช่น ชาวตะวันตก) จึงมีการแนะนำให้พยายามกินผักผลไม้ให้มากๆ ทุกวัน ซึ่งมีผลดีต่อการป้องกันโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน และยังเชื่อว่าอาจป้องกันไส้ติ่งอักเสบ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
ไส้ติ่งอักเสบพบเป็นสาเหตุอันดับแรกๆ ของโรคปวดท้องที่ต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัดเร่งด่วน บ่อยครั้งที่พบว่าผู้ป่วยปล่อยให้มีอาการปวดท้องนานหลายวันแล้วค่อยมาโรงพยาบาล ซึ่งมักจะพบว่าเป็นถึงขั้นไส้ติ่งแตกเสียแล้ว ดังนั้น ใครก็ตามที่มีอาการปวดท้องมากติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ก็ควรจะรีบไปพบแพทย์ใกล้บ้าน เนื่องเพราะถ้าไม่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ก็มักเป็นโรคปวดท้องร้ายแรงอื่นๆ เสมอ
ชื่อภาษาไทย
ไส้ติ่งอักเสบ
ชื่อภาษาอังกฤษ
Appendicitis
ความชุก
ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย แต่จะพบมากในช่วงอายุ 20-30 ปี พบได้น้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ชายกับหญิงมีโอกาสเป็นเท่าๆ กัน แต่ในช่วงอายุ 20-30 ปี จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
- อ่าน 40,014 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้