โรคนี้เป็นโรคที่อุบัติขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้ สามารถแพร่กระจายได้เร็ว และมีโอกาสเกิดความรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ 10 ประเทศได้ร่วมมือกันศึกษาวิจัย จนได้ข้อสรุป (เมื่อวันที่ 16 เมษายน) ว่า โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตัวใหม่ซึ่งเชื่อว่าแพร่มาจากสัตว์โดยธรรมชาติ เชื้อโรคในสัตว์จะก่อโรคเฉพาะในสัตว์ ไม่ข้ามมาก่อโรคในคน แต่ในบางช่วงเวลาจะมีเชื้อโรคในสัตว์ที่กลายพันธุ์สามารถแพร่สู่คน เช่น เชื้อไวรัสเอชไอวีที่แพร่มาจากลิงชิมแปนซี, เชื้อไวรัสหวัดนกที่แพร่มาจากไก่ (เกิดโรคระบาดใหญ่ในฮ่องกงในปี 2540) เป็นต้น เชื้อที่กลายพันธุ์เหล่านี้ มักจะก่อโรคระบาดและรุนแรงในคนโรคที่เกิดขึ้นใหม่คราวนี้ ก็เชื่อว่า น่าจะเป็นไปในแบบเดียวกัน
เชื้อไวรัสตัวใหม่นี้จัดอยู่ในตระกูล "ไวรัส โคโรนา (coronaviruses)" ไวรัสตระกูลนี้มีอยู่หลายสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่เคยพบในคนนั้น เป็นต้นเหตุของการเป็นไข้หวัดธรรมดา ไม่รุนแรง ส่วนสายพันธุ์ที่เคยพบในสัตว์ (พบในสุนัข แมว หมู หนู นก) นั้น อาจทำให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท ตับ ลำไส้ ที่พบว่าเกิดจากไวรัสโคโรนาตัวใหม่ ก็เนื่องเพราะได้วิจัยพบเชื้อชนิดนี้ในผู้ป่วยโรคนี้จำนวนมาก ในหลายประเทศ แต่เชื้อที่พบนี้มีรูปร่างหน้าตาผิดแผกไปจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ ต่างๆ ที่เคยรู้จักมาแต่เดิม นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมกันศึกษาวิจัยโรคนี้ได้ตั้งชื่อเชื้อไวรัสตัวใหม่นี้ ว่า "ไวรัสซาร์ส (SARS virus)"
แรกเริ่มจะมีอาการเป็นไข้ (วัดปรอทมีไข้มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) ปวดเมื่อยตามตัวมาก ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่ บางคนอาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการเจ็บคอ หรือท้องเดิน 3-7 วันต่อมา จะมีอาการไอแห้งๆ หากเป็นรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบ (ปอดบวม) ก็จะมีอาการหายใจหอบ หายใจขัดตามมา จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อาการรุนแรงมักจะเกิดในสัปดาห์ที่ 2 ของการเจ็บป่วย ส่วนผู้ที่เป็นเล็กน้อยจะมีเพียงอาการไข้ตัวร้อนอยู่ไม่เกิน 4-7 วัน ก็หายไปเองคล้ายกับอาการไข้ธรรมดา ทำให้ไม่เอะใจว่าจะเป็นปอดบวมมรณะ
การดำเนินโรค
ร้อยละ 80-90 ของผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งจะหายได้เป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ ประมาณร้อยละ 10-20 จะมีอาการหนัก คือหายใจลำบาก ซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ประคับประคองให้พ้นขีดอันตราย กลุ่มนี้จะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนาน 2-3 สัปดาห์ ประมาณร้อยละ 5 จะเสียชีวิต กลุ่มนี้มักมีอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีภูมิต้านทานร่างกายอ่อนแอ เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคไต หรือโรคประจำตัวอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม คนอายุน้อยที่แข็งแรงถ้าเป็นโรคนี้ แล้วปล่อยจนอาการหนักค่อยรักษาก็อาจตายได้เช่นกัน
ภาวะแทรกซ้อน
ที่ร้ายแรง ก็คือกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome ย่อว่า ARDS) ซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ภาวะนี้ทำให้ผู้ป่วยบางรายเสียชีวิต
การแยกโรค
โรคนี้มีอาการสำคัญคือไข้ตัวร้อน ซึ่งต้องแยกออกจากโรคที่พบบ่อย เช่น
- ไข้หวัด จะมีไข้ร่วมกับน้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ จาม ส่วนมากอาการตัวร้อนจะเป็นอยู่ 2-4 วันก็ทุเลาไปเอง แต่จะมีอาการไออยู่หลายวัน คน ไข้จะไม่มีอาการปวดเมื่อยมาก กินข้าว เดินเหินไปไหนมาไหนได้ดี
- ไข้หวัดใหญ่ จะมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัวมาก ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร แล้วต่อมาจะมีอาการ เจ็บคอ ไอ บางคนมีน้ำมูกไหล อาการของไข้หวัดใหญ่ในช่วง 2-3 วันแรก จะแยกจากโรคปอดบวมมรณะได้ยาก อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ส่วนมากมักจะไข้ทุเลาภายใน 3-4 วัน
- ไข้เลือดออก จะมีไข้สูงตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง ซึม เบื่ออาหาร อาจมีอาการปวดท้อง อาเจียนร่วมด้วย อาจมีผื่นหรือจุดแดงตามตัว ถ้าเป็นรุนแรงจะมีอาการตัวเย็นชืด กระสับกระส่าย หรือมีเลือดออก
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาปัจจุบันหากพบว่ามีไข้และมีประวัติเดินทางจากประเทศที่มีการระบาดของโรคปอดบวมมรณะ หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคปอดบวมมรณะ ก็ควรจะไปพบแพทย์ตรวจดูให้แน่ใจอย่าคิดว่าเป็นเพียงไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโดยจำเพาะ แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการที่พบ เช่น ให้ยาพาราเซตามอลลดไข้แก้ปวด, ยาแก้ไอ ถ้าเป็นไปได้อาจจำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการใกล้ชิดและแยกตัวไม่ให้แพร่เชื้อให้คนอื่น ส่วนในรายที่มีอาการหอบหายใจลำบาก จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจจนกว่าจะพ้นขีดอันตราย ในประเทศที่มีการระบาดได้มีการทดลองให้ยาต้านไวรัส (เช่น ribavirin) ร่วมกับยาสตีรอยด์ และบางรายอาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมอาการปอดอักเสบ มีข้อสรุปว่าไม่ได้ผลเท่าที่ควร
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการเป็นไข้ ปวดเมื่อยมาก ร่วมกับการมีประวัติเดินทางจากประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ในรายที่แพทย์สงสัยว่าเป็นโรคนี้ ก็จะทำการตรวจเลือด และเอกซเรย์ปอด ร้อยละ 50 ของผู้ที่เป็นโรคปอดบวมมรณะ จะพบสิ่งผิดปกติจากการตรวจชันสูตรเพิ่มเติม เช่น พบว่ามีจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ, สารเอนไซม์ตับ (ที่เรียกว่า ALT, AST) สูงกว่าปกติ 2-6 เท่า, สาร creatine phospho-kinase สูงกว่าปกติ, ผลการเอกซเรย์ปอดพบร่องรอยของปอดอักเสบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อีกร้อยละ 50 ของคนไข้ ก็อาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติดังกล่าวใดๆ ก็ได้
ล่าสุดหลังจากพบเชื้อไวรัสที่ก่อโรค นักวิทยาศาสตร์ได้คิดประดิษฐ์ชุดตรวจสำเร็จรูป สามารถตรวจหาร่องรอยของไวรัสซาร์สในเลือด น้ำลาย หรือเสมหะ ซึ่งมีความแม่นยำในการวินิจฉัยมากยิ่งขึ้นและทราบผลภายใน 6 ชั่วโมง
ผู้ที่กลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคนี้ หากภายใน 10 วัน มีอาการเป็นไข้ตัวร้อนควรรีบไปพบแพทย์ ระหว่างอยู่บ้านควรปฏิบัติตัว ดังนี้
- กินยาบรรเทาไข้ ได้แก่ พาราเซตามอล และไปพบแพทย์ตามนัด
- นอนแยกห้องจากคนอื่น
- แยกข้าวของเครื่องใช้จากคนอื่น
- หลีกเลี่ยงการจับต้องสิ่งของต่างๆ ภาย ในบ้าน หากจำเป็น เช่น ใช้โทรศัพท์ ควรใช้แอลกอฮอล์เช็ดให้สะอาด
- สวมหน้ากากอนามัย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการไอ จาม)
- หมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ เพื่อชะเอาเชื้อที่อาจปนเปื้อนมือออกไป
- หากมีอาการหายใจหอบ หายใจขัด ควรรีบไปโรงพยาบาล
การป้องกัน
- ดูแลสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดเหล้า บุหรี่ อย่ากินยาชุดยาลูกกลอนที่มีสารสตีรอยด์ คนที่มีภูมิต้านทานร่างกายดี หากบังเอิญติดเชื้อ ก็อาจรอดพ้นจากการเป็นโรคได้ หรือหากเป็นโรคก็อาจป้องกันไม่ให้ลุกลาม และหายเป็นปกติได้
- หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศหรือเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ หากเลี่ยงไม่ได้ควรสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ และหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่เพื่อชะเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเสมหะของคนไข้
- ถ้ามีคนในบ้านมีอาการเป็นไข้ที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดควรหลีกเลี่ยงการจับมือคนไข้ ถ้าจำเป็นต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดควรสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หลีกเลี่ยงการใช้ข้าวของเครื่องใช้กับคนไข้ ควรนอนแยกห้องกับคนไข้ เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวก
ชื่อภาษาไทย
โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง, โรคซาร์ส, โรคปอดอักเสบผิดแบบฉบับ, ปอดบวมมรณะ, ไข้หวัดมรณะ, ไข้ไวรัสมรณะ
ชื่อภาษาอังกฤษ
Severe acute respiratory syndrome (SARS), Atypical pneumonia
ความชุก
โรคนี้พบมากในหมู่คนที่อยู่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคนี้ (เช่น หมอ พยาบาล ญาติ มิตรที่ดูแลคนไข้) และคนที่เดินทางไปในประเทศหรือเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ บุคคลเหล่านี้ จำเป็นต้องมีความระมัดระวัง หาทางป้องกันไม่ให้ติดโรคเป็นพิเศษ
- อ่าน 25,820 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้