สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบ แต่พบว่าลำไส้ใหญ่มีการทำงานผิดปกติ โดยที่ตรวจไม่พบความผิดปกติทางโครงสร้างกายภาพใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่พบว่าลำไส้มีอาการอักเสบแต่อย่างใด
ความผิดปกติของการทำงานของลำไส้เป็นไปใน 2 ลักษณะ ลักษณะหนึ่งคือ ลำไส้มีการบีบตัวหรือขับเคลื่อนเร็วกว่าปกติ ทำให้ลำไส้ไม่ทันได้ดูดซึมน้ำจากอาหารที่ผ่านเข้ามา จึงเกิดอาการถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง อีกลักษณะหนึ่งคือ ลำไส้มีการบีบตัวหรือขับเคลื่อนช้ากว่าปกติ ทำให้อาหารตกค้างอยู่ในลำไส้นาน มีการดูดซึมน้ำจนหมด จึงเกิดอาการท้องผูกหรือถ่ายเป็นก้อนแข็ง
ความผิดปกติดังกล่าวมักเกิดขึ้นขณะมีความเครียด หรือเกิดจากการกินอาหารบางชนิด
นอกจากนี้ ในช่วงเป็นประจำเดือน ก็อาจมีอาการกำเริบได้บ่อย สันนิษฐานว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายในช่วงดังกล่าว
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องแบบบิดเกร็งเป็นพักๆ ตรงบริเวณท้องน้อย (ใต้สะดือ) แบบปวดท้องถ่าย และทุเลาปวดเมื่อมีการถ่ายอุจจาระ ผู้ป่วยมักมีอาการท้องเดินหรือท้องผูกร่วมด้วย
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีการบีบตัวของลำไส้เร็วกว่าปกติ ก็จะมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลววันละหลายครั้ง มักจะถ่ายช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือขณะกินอาหาร หรือหลังกินอาหารทันที อาการอาจเป็นต่อเนื่องทุกวัน หรือเป็นๆ หายๆ เป็นบางวัน มีข้อน่าสังเกตว่าเมื่อเข้านอนตอนกลางคืน จะไม่มีอาการลุกขึ้นมาถ่าย จนกระทั่งรุ่งเช้า สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีการบีบตัวของลำไส้ช้ากว่าปกติ ก็จะมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเป็นก้อนแข็ง บางคนอาจถ่ายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
บางคนอาจมีอาการท้องเดินสลับท้องผูก หรือถ่ายเป็นมูกร่วมด้วย (พบว่าลำไส้ใหญ่ของผู้ป่วยบางคนจะมีการหลั่งเมือกออกมามากกว่าปกติ)
นอกจากนี้ บางคนอาจมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อมีลมในท้องร่วมด้วย
ผู้ป่วยมักเริ่มอาการครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 20 ปี และจะเป็นเรื้อรังเรื่อยๆ นานหลายปี หรือตลอดชีวิต โดยที่ผู้ป่วยมีสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี ไม่มีอาการถ่ายเป็นเลือด เป็นไข้ หรือน้ำหนักลด
สิ่งที่ทำให้อาการของโรคกำเริบ เช่น
- การกินอาหารปริมาณมาก
- การกินอาหารมันๆ นม เนย ไอศกรีม ช็อกโกแลต ชา กาแฟ เครื่องดื่มกาเฟอีน แอลกอฮอล์ น้ำโซดาน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลฟรักโทสสูง ( เช่น น้ำแอปเปิ้ล น้ำองุ่น)
- อารมณ์เครียด
การดำเนินโรค
มักเป็นๆ หายๆ เรื้อรังนานหลายปี หรือตลอดชีวิต โดยที่สุขภาพแข็งแรงดี และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อย ไม่ต้องหาหมอหรือกินยารักษา เพียงแต่ปฏิบัติตัวต่างๆ ก็จะมีคุณภาพชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป
ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้แม้จะเป็นเรื้อรัง แต่มักไม่มีภาวะแทรกซ้อน หรืออันตรายต่อสุขภาพ นอกจากสร้างความรำคาญ และมีความลำบากในการหาห้องน้ำเวลามีอาการท้องเดิน
บางคนที่ถ่ายบ่อย ก็อาจทำให้โรคริดสีดวงทวารที่เป็นอยู่กำเริบ (ถ่ายเป็นเลือด) ได้
การแยกโรค
- โรคติดเชื้อ เช่น เชื้อบิด เชื้อพยาธิไกอาร์เดีย จะมีอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือด หรือถ่ายเป็นน้ำเรื้อรัง หรืออาจมีไข้ น้ำหนักลดร่วมด้วย
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ จะมีอาการท้องผูกสลับท้องเดินเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือดสด น้ำหนักลด มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี
- โรคของต่อมไทรอยด์ เช่น คอพอกเป็นพิษ จะมีอาการถ่ายเหลวบ่อย ร่วมกับอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลด ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ จะมีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักขึ้น ท้องผูก
- ภาวะเยื่อบุมดลูกงอกผิดที่ (endometriosis) จะมีอาการปวดท้องน้อยรุนแรงเวลามีประจำเดือน
- ภาวะพร่องเอนไซม์ย่อยนม (แล็กเทส) จะมีอาการท้องเดินเฉพาะเวลาดื่มนม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นองค์ประกอบ
เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มอาการลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า ก็จะแนะนำการปฏิบัติตัวต่างๆ
ในรายที่เป็นมาก อาจให้ยาบรรเทาตามอาการ ได้แก่ ยาแก้ปวดท้อง (เช่น ไฮออสซีน) ยาแก้ท้องเดิน (เช่น โลเพอราไมด์) ยาระบาย (เช่น มิลค์ออฟแมกนีเซีย) โดยให้กินเป็นครั้งคราวเมื่อมีอาการ
นอกจากนี้ อาจให้ยาคลายเครียด หรือยาแก้ซึมเศร้า ถ้ามีภาวะเครียด หรือซึมเศร้า
การวินิจฉัย
แพทย์มักจะวินิจฉัยจากอาการบอกเล่าของผู้ป่วยเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีอาการปวดท้องร่วมกับท้องเดินหรือท้องผูกเรื้อรังนานมากกว่า 3 เดือน ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา (อาจเป็นแบบต่อเนื่องหรือแบบเป็นๆ หายๆ ก็ได้) โดยที่ผู้ป่วยมีสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี
ในรายที่ไม่แน่ใจหรือสงสัยจะเกิดจากสาเหตุอื่น แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ (ดูว่าเป็นพยาธิ หรือมีเลือดออกหรือไม่) เอกซเรย์ลำไส้ใหญ่โดยการสวนแป้งแบเรียม (bariumenema) ใช้กล้องส่องตรวจทวารหนักหรือลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
- ควรสังเกตดูว่ามีอาการกำเริบจากสาเหตุใด
- ถ้าเกิดจากความเครียด ควรออกกำลังกาย ฝึกโยคะ หรือหาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ
- ถ้าเกิดจากอาหาร (เช่น นม กาแฟ ของมัน) ก็ควรหาทางหลีกเลี่ยง
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารปริมาณมาก
- กินผักและผลไม้ให้มากๆ
ควรไปพบแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีไข้
- น้ำหนักลด
- มีอาการถ่ายเป็นเลือด หรือต้องลุกขึ้นถ่ายตอนกลางคืน หรือถ่ายเป็นมูกมีกลิ่นเหม็น
- ปวดท้องรุนแรง หรือกดเจ็บบริเวณท้อง
- มีความวิตกกังวล
การป้องกัน
- หมั่นออกกำลังกาย
- หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ
- กินผักและผลไม้ให้มากๆ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้โรคกำเริบ
คนบางคนอาจมีอาการปวดท้องร่วมกับท้องเดิน หรือท้องผูกเป็นๆ หายๆ เรื้อรังเป็นประจำ โดยที่สุขภาพทั่วไปแข็งแรง มักเกิดอาการเวลามีความเครียด หรือหลังกินอาหารบางชนิด ถือเป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง เพียงแต่สร้างความน่ารำคาญ และต้องคอยวิ่งหาห้องน้ำแบบเร่งด่วน
ชื่อภาษาไทย
กลุ่มอาการลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า, โรคไอบีเอส
ชื่อภาษาอังกฤษ
Irritable bowel syndrome, IBS
ความชุก
เป็นโรคที่พบได้บ่อย (ในสหรัฐอเมริกา พบโรคนี้ประมาณร้อยละ 15-20 ของคนทั่วไป) พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า มักเริ่มเป็นเมื่ออายุประมาณ 20 ปี
- อ่าน 108,059 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้