Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » ดูแลสุขภาพด้วยตนเอง
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ต้อกระจก

โพสโดย admin เมื่อ 19 ตุลาคม 2554 15:05
ZUID: 
D091
ZADDITIONAL1: 
  1. ส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 80) เกิดจากภาวะเสื่อมตามวัย ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกแทบทุกราย แต่อาจเป็นมากน้อยต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในผู้สูงอายุ (senile cataract)
  2. ส่วนน้อยอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น
    • เป็นมาแต่กำเนิด ซึ่งจะพบในทารกที่เป็นหัดเยอรมันแต่กำเนิด
    • เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ หรือกระทบกระเทือนที่ตาอย่างรุนแรง
    • เกิดจากความผิดปกติของตา เช่น ม่านตาอักเสบ ต้อหิน
    • เกิดจากยา เช่น การใช้ยาหยอดตาที่เข้าสตีรอยด์ หรือกินสตีรอยด์นานๆ การใช้ยาลดความอ้วนบางชนิด เป็นต้น
    • เกิดจากการถูกรังสีที่บริเวณตานานๆ (เช่น ผู้ที่เป็นมะเร็งที่เบ้าตาเมื่อรักษาด้วยรังสีบ่อยๆ) หรือถูกแสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลต ก็อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้
    • ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานหรือโรคผื่นแพ้กรรมพันธุ์ ก็มักจะเกิดต้อกระจกก่อนวัยได้
    • ภาวะขาดอาหาร การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์จัด ก็อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าปกติ

ZADDITIONAL2: 

ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตาค่อยๆ มัวลงเรื่อยๆ ทีละน้อย

ในระยะเริ่มแรกจะรู้สึกมีอาการตามัวเหมือนมีหมอกบัง มองในที่มืดชัดกว่าที่สว่าง* หรือถูกแสงสว่างจะรู้สึกตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ หรือเห็นภาพซ้อน โดยไม่มีอาการเจ็บปวดหรือตาแดงแต่อย่างใด

อาการตามัวจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ กินเวลาเป็นแรมเดือนแรมปี จนในที่สุดเมื่อแก้วตาขุ่นขาวจนหมด (เรียกว่า ต้อสุก) ก็จะมองไม่เห็น

สำหรับต้อกระจกในผู้สูงอายุ มักจะเป็นที่ตาทั้ง 2 ข้าง แต่จะสุกไม่พร้อมกัน

 *สำหรับต้อกระจกในผู้สูงอายุในระยะแรก แก้วตามักจะขุ่นขาวเฉพาะบริเวณตรงกลาง เมื่อมองในที่มืดรูม่านตาจะขยาย เปิดทางให้แสงผ่านเข้าแก้วตาส่วนรอบนอกที่ยังใสเป็นปกติ จึงทำให้เห็นภาพได้ชัด แต่เมื่อมองในที่สว่างรูม่านตาจะหดเล็กลง แสงสว่างจะผ่านเฉพาะแก้วตาส่วนตรงกลางที่ขุ่นขาวทำให้พร่ามัว

การดำเนินโรค

ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา สายตาจะพร่ามัวลงเรื่อยๆ จนมองไม่เห็น (ตาบอด) และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวตามมา

ถ้าได้รับการผ่าตัดจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นสายตาให้กลับมามองเห็นชัดเจนเช่นคนหนุ่มสาว

ตาข้างที่ผ่าตัดแล้วจะไม่เป็นต้อกระจกซ้ำอีก ถ้าหลังผ่าตัดแล้ว ตาข้างที่ผ่ามีอาการตามัวอีกก็มักเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ต้อหิน จอตาเสื่อม ถุงหุ้มเลนส์ขุ่น เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัดจะทำให้ตาบอดสนิท

ในบางรายแก้วตาอาจบวม หรือหลุดลอยไปอุดกั้นทางระบายของของเหลวในลูกตา ทำให้ความดันภายในลูกตาสูงขึ้นจนกลายเป็นต้อหินได้ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาอย่างรุนแรง

การแยกโรค

อาการตามัว อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น

  • ต้อหินเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตารุนแรง ตาแดงและพร่ามัวข้างหนึ่ง เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
  • ม่านตาอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง และตาพร่ามัวข้างหนึ่ง คล้ายต้อหินเฉียบพลัน
  • แผลกระจกตา ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา เคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล ตาฝ้าฟาง มักเกิดขึ้นหลังได้รับบาดเจ็บ (เช่น ถูกใบหญ้า ใบไม้บาดตา หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา)
  • ต้อหินเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวลงทีละน้อยเป็นแรมปี ต้องคอยเปลี่ยนแว่นอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่รู้สึกดีขึ้น ผู้ป่วยจะมีลานสายตาแคบลงกว่าเดิม คือ มองไม่เห็นด้านข้างๆ อาจขับรถลำบาก (เพราะมองไม่เห็นรถอยู่ทางซ้ายและขวา) ขับชนกำแพง ต้นไม้ หรือสิ่งกีดขวาง เวลาเดินอาจชนขอบโต๊ะ ขอบเตียง (เพราะมองไม่เห็นด้านข้าง)
    *จอตาเสื่อมตามวัย พบบ่อยในคนอายุมากกว่า 65 ปี ผู้ป่วยจะมีอาการตามัว ค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาจสังเกตว่าเวลาอ่านหนังสือหรือทำงานที่ประณีต หรือต้องมองใกล้ๆ จำเป็นต้องอาศัยแสงที่สว่างมากขึ้น สายตามักจะไม่ดีเมื่ออยู่ในที่สลัว มองเห็นสีได้ไม่ชัดเจน จำหน้าคนไม่ได้
  • จอตาเสื่อมจากเบาหวาน (เบาหวานขึ้นตา) ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นเบาหวานมานาน ต่อมามีอาการตามัวเรื้อรัง
  • สายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น สายตายาว ผู้ป่วยจะมองเห็นภาพพร่ามัว เมื่อมองไกล (สายตาสั้น) หรือมองใกล้ (สายตายาว สายตาผู้สูงอายุ)
ZADDITIONAL3: 

 

โรคนี้ไม่มียาที่ใช้กินหรือหยอดแก้อาการของต้อกระจก จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนแก้วตา

วิธีผ่าตัดในปัจจุบัน จะใช้วิธีสลายต้อ (แก้วตาที่เสื่อม) ด้วยคลื่นความถี่สูงหรืออัลตราซาวนด์ (phacoemulsification) ทำให้เนื้อเลนส์ (แก้วตา) สลายตัวและดูดออก แล้วใส่แก้วตาเทียม (เลนส์เทียม) เข้าไปแทนในถุงหุ้มเลนส์เดิม

ดังนั้น ในปัจจุบันแพทย์จะนัดผ่าตัดตั้งแต่ระยะแรกเริ่มที่มีอาการตามัวจากต้อกระจก ทั้งนี้เพื่อรักษาถุงหุ้ม (capsule) ของแก้วตาที่ยังคงสภาพที่ดีไว้ สำหรับใช้แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่แก้วตาจริงที่เสื่อมสภาพ (แก้วตาขุ่นขาว) ไม่ใช่รอให้ต้อสุกแบบการผ่าตัดสมัยก่อน เพราะถุงหุ้มก็อาจเสื่อมจนใช้การไม่ได้ดี

การผ่าตัดวิธีนี้ แผลผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาน้อย และไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล ผู้ป่วยสามารถกลับไปพักที่บ้านได้เลยหลังผ่าตัด

ข้อดีอีกข้อคือ ไม่ต้องตัดแว่นใส่เวลามองไกล 

แต่เวลาอ่านหนังสือมักต้องใช้แว่นอ่านหนังสือเช่นเดียวกับผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีทั่วไป เพราะเลนส์เทียมจะขาดความยืดหยุ่น ทำให้ไม่สามารถปรับให้เห็นชัดเวลามองใกล้แบบเดียวกับสายตาผู้สูงอายุ

แพทย์จะรอเวลาหลังผ่าตัด 1-2 เดือน จนสายตาเข้าที่แล้วจึงจะวัดสายตาและตัดแว่นอ่านหนังสือให้ผู้ป่วยใช้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นด้วยการตรวจพบแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาผู้ป่วยจะรู้สึกตาพร่า การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่พบปฏิกิริยาสะท้อนสีแดง (red reflex)

หากไม่แน่ใจ แพทย์ต้องใช้เครื่องมือพิเศษตรวจอย่างละเอียด อาจจำเป็นต้องตรวจวัดความดันลูกตา (เพื่อแยกออกจากโรคต้อหินที่จะพบความดันลูกตาสูงกว่าปกติ) และตรวจพิเศษอื่นๆ

ZADDITIONAL4: 

 

เมื่อมีอาการตามัว ตาพร่า สายตาฝ้าฟาง หรือมองเห็นภาพผิดจากปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการปวดตา หรือตาแดงร่วมด้วย ก็ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง อาจเกิดจากสาเหตุร้ายแรง เช่น ต้อหินเฉียบพลัน แผลกระจกตา เป็นต้น 

หากตรวจพบว่าเป็นต้อกระจก ก็ควรจะทำการผ่าตัดตามที่แพทย์นัด

หลังผ่าตัดผู้ป่วยควรปฏิบัติตัว ดังนี้

  • เย็นวันผ่าตัด ควรนอนพักให้มากที่สุด และลุกขึ้นเดินเท่าที่จำเป็น (เช่น เข้าห้องน้ำ) วันถัดหลังจากนั้นไป ควรหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก การไอหรือจามแรงๆ การยกของหนักหรือกระเทือนมาก นานประมาณ 2-3 สัปดาห์
  • ห้ามให้น้ำเข้าตาประมาณ 4 สัปดาห์ ควรใช้วิธีเช็ดหน้าแทนการล้างหน้า
  • ห้ามขยี้ตาข้างที่ผ่าตัดประมาณ 4 สัปดาห์ ควรใช้ที่ครอบตาพลาสติกปิดตา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานอน เพื่อป้องกันการเผลอขยี้ตา) ในเวลากลางวันอาจใส่แว่นตาแทนที่ครอบตาก็ได้
  • ไปพบแพทย์ตามนัด แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ตาแดงมากขึ้น ปวดตามาก เผลอขยี้ตา หรือตาข้างที่ผ่าเคยชัดกลับมัวลงอีก ควรไปพบแพทย์ทันที

การป้องกัน

โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมตามวัย จึงไม่อาจหาทางป้องกันได้

ส่วนน้อยที่อาจเกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ทารกที่เป็นหัดเยอรมันแต่กำเนิด การได้รับบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือนที่ตาอย่างรุนแรง การใช้ยา (ยาลดความอ้วนบางชนิด การใช้สตีรอยด์) การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้าจัด เป็นต้น ก็ควรหาทางป้องกันหรือหลีกเลี่ยงสาเหตุเหล่านี้เสีย ส่วนผู้ที่เป็นเบาหวานก็ควรควบคุมโรคให้ได้ผลอย่างจริงจัง ก็จะช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก

ต้อกระจก เป็นภาวะที่แก้วตาหรือเลนส์ตา (lens) ภายในลูกตามีลักษณะขุ่นขาวจากปกติที่มีลักษณะโปร่งใสคล้ายกระจกใส เมื่อแก้วตาขุ่นขาวก็จะมีลักษณะทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปตกกระทบที่จอตา (retina) ที่ทำหน้าที่รับภาพ ทำให้เกิดอาการสายตาฝ้าฟางและมองไม่เห็นในที่สุด

ต้อกระจก เป็นโรคที่พบบ่อยสำหรับผู้สูงอายุ หากปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะทำให้ตาบอด นับว่าเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของภาวะสายตาพิการของผู้สูงอายุ

ชื่อภาษาไทย
ต้อกระจก

ชื่อภาษาอังกฤษ
Cataract

ความชุก

โรคนี้พบบ่อยในผู้สูงอายุ (ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไปจะเป็นต้อกระจกเป็นส่วนใหญ่) 

ป้ายคำ:
  • โรค
  • อ่าน 30,307 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้
Skip to Top

คุณไม่สบายตรงไหน

  • ศีรษะหู ตา คอ จมูก ปาก
  • ลำตัวท้อง แขน มือ อวัยวะภายใน
  • ลำตัวส่วนล่างอวัยวะเพศ ขา เท้า
  • อาการทั่วไป ไข้หวัด ผิวหนัง ฯลฯ

ข้อมูลสุขภาพ

  • โรค
  • ยา
  • สมุนไพร
  • ปฐมพยาบาล
Doctor Me

  • สนับสนุนสื่อสุขภาพออนไลน์หมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • คำแนะนำสำหรับประชาชน เรื่อง โรคจากเชื้อแบคทีเรีย อีโคไลชนิดรุนแรง
  • ผ่าตัดฟรีสำหรับเด็ก ที่เป็นโรคหัวใจ
  • สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย (สพท.)
Appstore
GooglePlay

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <