ไส้เลื่อน
- สะดือจุ่น ทารกจะมีอาการสะดือจุ่น หรือสะดือโป่งเวลาร้องไห้ ซึ่งจะเป็นมาแต่แรกเกิด โดยไม่มีความผิดปกติอื่นๆ
- ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นมีก้อนตุงที่บริเวณขาหนีบหรือถุงอัณฑะ ซึ่งจะเห็นชัดขณะลุกขึ้นยืน หรือเวลายกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย เวลานอนหงายก้อนจะยุบหายไป เมื่อคลำดูจะพบว่าก้อนมีลักษณะนุ่มๆ หยุ่นๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด อาการมีก้อนตุงโผล่ๆ ผลุบๆ แบบนี้มักจะเป็นอยู่นานเป็นแรมปี สิบๆ ปีหรือตลอดชีวิต แต่ถ้ามีภาวะไส้เลื่อนติดคาอยู่ที่ผนังหน้าท้อง ก็จะกลายเป็นก้อนตุง ไม่ยุบหาย และจะมีอาการเจ็บปวดที่ท้อง ปวดท้อง อาเจียนตามมา ซึ่งถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนของไส้เลื่อน
- ไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด ก่อนผ่าตัดผู้ป่วยไม่มีก้อนตุงที่หน้าท้อง แต่หลังผ่าตัด (อาจนานเป็นแรมเดือน หรือแรมปี ต่อมาก็พบว่าบริเวณใกล้ๆ รอบแผลผ่าตัด จะมีก้อนตุงขนาดใหญ่ ไม่มีอาการเจ็บปวด โดยเฉพาะจะเห็นชัดในท่ายืนหรือนั่ง แต่เวลานอนก้อนจะเล็กลงหรือยุบลง อาการจะเป็นเรื้อรังจนกว่าจะได้รับการผ่าตัดแก้ไข
การดำเนินโรค
สำหรับสะดือจุ่นที่พบในทารก ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายในอายุ 2 ขวบ
ส่วนไส้เลื่อนที่ขาหนีบและไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด มักจะเป็นเรื้อรัง จนกว่าจะได้รับการผ่าตัดแก้ไข
ในรายที่เป็นไส้เลื่อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจเกิดภาวะไส้เลื่อนติดคาแทรกซ้อนได้
ภาวะแทรกซ้อน
อาจพบในผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ บางครั้งลำไส้อาจติดคาที่ผนังหน้าท้อง ไม่สามารถไหลกลับเข้าช่องท้องได้ดังเดิม เรียกว่าไส้เลื่อนชนิดติดคา ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะลำไส้อุดกั้น มีอาการปวดท้อง อาเจียนได้ และถ้าปล่อยทิ้งไว้ ลำไส้ที่ติดคาจะถูกบีบรัดจนขาดเลือดลำไส้เน่าได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้
การแยกโรค
ก้อนที่บริเวณหน้าท้อง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- ก้อนฝี ซึ่งจะมีอาการปวดบวมแดงร้อน แตะถูกเจ็บ และไม่ยุบหายเวลานอนหงาย
- ก้อนเนื้องอก มักจะเป็นก้อนแข็ง ไม่ยุบ แตะถูกไม่เจ็บ
ส่วนก้อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ นอกจากก้อนฝีและก้อนเนื้องอกแล้ว ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- โรคฝีมะม่วง ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะบวมแดงร้อน
- ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ถ้าเป็นเฉียบพลันจะมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ปวด แดงร้อน ถ้าเป็นเรื้อรัง มักจะเป็นก้อนแข็ง ไม่เจ็บ ไม่ยุบ
- ถุงน้ำที่ถุงอัณฑะหรือกล่อนน้ำ (hydrocele) มีลักษณะเป็นก้อนนุ่ม คล้ายลูกโป่งใส่น้ำ ไม่เจ็บ ไม่ยุบ เวลาใช้ไฟฉายส่องจะเห็นโปร่งใส มักพบในเด็กเล็ก ตั้งแต่แรกเกิด ส่วนน้อยอาจพบตอนโตแล้ว (ภายหลังได้รับบาดเจ็บหรือเกิดการอักเสบที่ถุงอัณฑะ)
- อัณฑะบิดตัว (testicular torsion) เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติของสายรั้งอัณฑะ (spermatic cord) และเนื้อเยื่อที่ปกคลุมอัณฑะ ทำให้ถุงอัณฑะหลวมกว่าปกติ อัณฑะสามารถบิดหมุนรอบตัวเมื่ออายุมากขึ้นได้ มีอาการปวดอัณฑะรุนแรง ตรวจพบเป็นก้อนบวม แตะถูกเจ็บ ไม่ยุบ
- อ่าน 8,124 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้