หมอนรองกระดูกเคลื่อน
ขึ้นกับตำแหน่งของหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนและเส้นประสาทที่ถูกกด ส่วนใหญ่พบที่หมอนรองกระดูกบริเวณเอว (พบบ่อยในกลุ่มอายุ 35-45 ปี) ส่วนน้อยพบที่บริเวณคอ (พบบ่อยในกลุ่มอายุ 40-50 ปี) อาจมีอาการเกิดขึ้นฉับพลันรุนแรง หรือค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อยก็ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีประวัติเกิดอาการหลังได้รับบาดเจ็บหรือยกของหนัก แต่ส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่ามีเหตุกำเริบจากอะไร
รายที่หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวเคลื่อน จะมีอาการปวดตรงกระเบนเหน็บ ซึ่งจะปวดร้าว เสียวๆ แปลบๆ และชาจากบริเวณแก้มก้นลงมาถึงน่องหรือปลายเท้า อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเวลามีการเคลื่อนไหว เวลาก้ม นั่ง ไอ จาม หัวเราะ หรือเบ่งถ่าย ในรายที่เป็นมากเท้าจะไม่ค่อยมีแรงและชา อาจถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ไม่ได้ หรือกลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่อยู่ มักพบเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น นอกจากในรายที่เป็นมากอาจมีอาการทั้ง 2 ข้าง
รายที่หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเคลื่อน จะมีอาการปวดบริเวณต้นคอ ปวดร้าว เสียวๆ แปลบๆ และชาลงมาที่ไหล่ แขน และปลายมือ มักมีอาการเวลาแหงนคอไปด้านหลัง หรือหันศีรษะไปข้างที่เป็น ถ้าเป็นมาก แขนและมืออาจมีอาการอ่อนแรง
การดำเนินโรค
ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักจะหายปวดและกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามปกติ สำหรับหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนที่ไม่รุนแรง อาการมักจะดีขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ เนื่องจากหมอนรองกระดูกที่ไหลเลื่อนออกมาข้างนอก มักจะยุบตัวลงจนลดแรงกดต่อรากประสาทไปได้เอง
โดยทั่วไป ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด มีประมาณร้อยละ 10-20 ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้ผลดี แต่มีประมาณร้อยละ 10 ที่อาจมีอาการปวดเรื้อรังต่อไป ในรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอยู่นานก่อนผ่าตัด อาการก็อาจไม่ดีขึ้นหลังผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อน
ถ้าปล่อยให้รากประสาทถูกกดรุนแรง อาจทำให้ขาชา เป็นแผลติดเชื้อง่าย กล้ามเนื้อ ขาลีบ ขาอ่อนแรง เดินลำบาก ถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ หรือกลั้นอุจจาระ ปัสสาวะไม่ได้
การแยกโรค
อาการปวดรากประสาท (ปวดร้าว เสียวๆ แปลบๆ และชาลงแขนหรือขา) เนื่องจากรากประสาท ถูกกดทับ อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น "โพรงกระดูกสันหลังแคบ" (spinal stenosis) มีอาการปวดหลังและปวดร้าวและชาลงขาข้างหนึ่ง แบบเดียวกับหมอนรองกระดูกเคลื่อน แต่มักพบในคนอายุมากกว่า 60 ปี (อาจเริ่มเป็นตั้งแต่อายุ 40 ปี โดยในช่วงแรกๆ อาจไม่มีอาการแสดงก็ได้) เกิดจากกระดูกสันหลังเสื่อมตามอายุ และมีการหนาตัวของเอ็นรอบๆ โพรงกระดูกสันหลัง (spinal canal) ทำให้มีการตีบแคบของโพรงดังกล่าว ซึ่งจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย ใช้เวลานานเป็นแรมปีหรือหลายปี จนในที่สุดเกิดการกดทับรากประสาทที่แยกออกมาจากไขสันหลังผ่านโพรงดังกล่าว ผู้ป่วยมักมีอาการปวดน่องเวลาเดินไปสักครู่ และทุเลาเมื่อหยุดพักร่วมด้วย อาการปวดหลังมักจะทุเลาเวลาก้มหรือนั่ง
"เนื้องอกไขสันหลัง" และมะเร็งที่แพร่กระจายไปที่ไขสันหลัง (เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง) ก็จะทำให้มีอาการปวดคอหรือปวดหลัง และปวดร้าวและชาลงแขนหรือขา แต่จะมีอาการแขนหรือขาอ่อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ อาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไข้เรื้อรัง น้ำหนักลดร่วมด้วย
อื่นๆ เช่น วัณโรคกระดูกสันหลัง อุบัติเหตุทำให้กระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น
- อ่าน 12,543 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้