โรคลมอัมพาต
-
ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมอัมพาต เนื่องจากหลอดเลือดสมองตีบ มักมีประวัติเป็นโรคความดันเลือดสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด อายุมาก อ้วน หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคอัมพาต แล้วอยู่ๆ ก็มีอาการแขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรงลงทันทีทันใด อาจเกิดขึ้นขณะตื่นนอนขณะเดินหรือทำงานอยู่ก็รู้สึกทรุดล้มลงไป (อาจทำให้เข้าใจผิดว่าอาการล้มลงเป็นต้นเหตุทำให้เป็นอัมพาต) ผู้ป่วยอาจจะมีอาการแขนขาชา เกร็งตามแขนขา ตามัว มองเห็นภาพซ้อน พูดไม่ได้หรือพูดอ้อแอ้ ปากเบี้ยว หรือกลืนไม่ได้ร่วมด้วย
บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เห็นบ้านหมุน หรือมีอาการสับสนนำมาก่อนที่จะมีอาการอัมพาตของแขนขา ผู้ป่วยมักมีอาการผิดปกติที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเพียงซีกเดียว กล่าวคือ ถ้าการตีบตันของ หลอดเลือดเกิดขึ้นในสมองซีกขวาก็จะเกิดอัมพาตของแขนขาซีกซ้าย แต่ถ้าการตีบตันของหลอดเลือดเกิดขึ้นที่สมองซีกซ้าย ก็จะมีอาการอัมพาตของแขนขาซีกขวาและบางรายอาจมีอาการพูดไม่ได้ร่วมด้วย (เนื่องจากศูนย์ควบคุมการพูดอยู่ในสมองซีกซ้ายถูกกระทบด้วย)
ผู้ป่วยส่วน มากจะรู้สึกตัวดี หรืออาจจะซึมลงเล็กน้อยยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการหมดสติได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการอัมพาต มักเป็นอยู่นานกว่า 24 ชั่วโมง และอาจจะเป็นอยู่นานเป็นแรมเดือน แรมปี หรือตลอดชีวิต บางรายอาจจะมีอาการอัมพาต ประมาณ 2-30 นาที (น้อยรายอาจเป็นนานเป็นชั่วโมง ไม่เกิน 24 ชั่วโมง) และหายได้เองโดยไม่ได้รับการรักษาใดๆ อาการดังกล่าวเกิดจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ เป็นอาการเตือนนำมาก่อน เป็นโรคอัมพาตประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี - ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมอัมพาตเนื่องจากลิ่มเลือดหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดสมอง จะมีอาการแบบเดียวกับอาการดังกล่าวข้างต้น แต่อาการอัมพาตมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที โดยไม่มีอาการเตือนมาก่อน ผู้ป่วยอาจมีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือเคยผ่าตัดหัวใจมาก่อน
- ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองแตก อาการมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที โดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า บางรายอาจเกิดอาการขณะทำงาน ออกแรงมากๆ หรือขณะร่วมเพศ ผู้ป่วยอาจบ่นปวดศีรษะ รุนแรงหรือปวดศีรษะซีกเดียว อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย แล้วต่อมาก็มีอาการปากเบี้ยวพูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง อาจชักและหมดสติในเวลาอันรวดเร็ว
การดำเนินโรค
ในรายที่เกิดจากสมองขาดเลือดจากลิ่มเลือดอุดตัน ถ้ามีอาการเล็กน้อย และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ก็อาจหายเป็นปกติ หรือฟื้นคืนสภาพได้จนเกือบเป็นปกติ จนช่วยตนเองได้ พูดได้ เดินได้ แต่อาจใช้มือได้ไม่ถนัด
ในรายที่เป็นรุนแรงหรือได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีก็มักจะมีความพิการหรือบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งต้องการการดูแลจากผู้อื่น นั่งรถเข็น หรือใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
ส่วนน้อยที่จะพิการรุนแรงจนต้องนอนแบ็บอยู่บนเตียง และต้องการผู้ดูแลตลอดเวลา หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล โดยทั่วไปการฟื้นตัวของร่างกายมักจะต้องใช้เวลา ถ้าจะดีขึ้นก็จะเริ่มมีอาการดีขึ้นให้เห็นภายใน 2-3 สัปดาห์ และจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถช่วยตนเองได้ หรือหายจนเกือบเป็นปกติ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหลัง 6 เดือนไปแล้ว ก็มักจะพิการอย่างถาวร ซึ่งมากน้อยขึ้นกับความรุนแรงของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ในรายที่เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ผลการรักษาขึ้นกับตำแหน่งและปริมาณของเลือดที่ออก สภาพของผู้ป่วย (อายุ โรคประจำตัว) และการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ถ้าเลือดออกในก้านสมอง จะมีอัตราการตายสูงถึงร้อยละ 90-95 ถ้าก้อนเลือดขนาดใหญ่ และแตกเข้าโพรงสมอง จะมีอัตราการตายถึงร้อยละ 50
ถ้าเลือดออกที่บริเวณผิวสมอง หรือก้อนเลือดขนาดเล็ก และไม่แตกเข้าโพรงสมองจะมีอัตราการตายต่ำ
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หากรอดชีวิตก็มักจะมีความพิการอย่างถาวร บางรายอาจจะกลายสภาพเป็นผัก หรือคนนิทรา อยู่นานหลายปี ในที่สุดมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อต่างๆ
ส่วนผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ซึ่งมักเกิดจากการแตกของหลอดเลือดผิดปกติมาแต่กำเนิด ถ้าแตกตรงตำแหน่งที่ไม่สำคัญ และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องมาตั้งแต่แรก มักจะสามารถฟื้นหายได้เป็นปกติ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดสมอง แม้ว่าร่างกายจะฟื้นตัวได้ดีแต่ก็คงมีโรคลมชักจากแผลเป็นในสมองแทรกซ้อนตามมาได้ ซึ่งต้องกินยากันชักควบคุมอาการตลอดไป
ภาวะแทรกซ้อน
อาจกลายเป็นโรคอัมพาตเรื้อรัง ซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยต่างกันไป ขึ้นกับความรุนแรง และสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ในรายที่ลุกนั่งไม่ได้ หรือนอนแบ็บอยู่บนเตียงนอน อาจเกิดแผลกดทับที่ก้น หลัง หรือข้อต่อต่างๆ บางรายอาจสำลักอาหารเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจหรือปอดอักเสบได้ อาจเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย หรือเป็นแผลถลอกที่กระจกตาดำ นอกจากนี้ อาจมีความเครียดทางจิตใจ หรือโรคซึมเศร้าในผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
การแยกโรค
อาการแขนขาชาหรืออ่อนแรง มักมีสาเหตุจากความผิดปกติของสมองและไขสันหลัง นอกจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมองแล้ว ยังอาจเกิดจากเนื้องอกในสมองหรือไขสันหลัง การติดเชื้อในสมองหรือไขสันหลัง การได้รับบาดเจ็บที่สมองหรือไขสันหลัง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเกิดจากภาวะใดก็ควรส่งตัวผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลทันที
- อ่าน 8,080 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้