ไตวายเรื้อรัง
อาการขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยในระยะแรกอาจไม่มีอาการให้สังเกตได้ชัดเจน และมักจะตรวจพบจากการตรวจเลือด (พบว่ามีระดับครีอะทินีนและบียูเอ็นสูง) ในขณะตรวจเช็กสุขภาพหรือมาพบแพทย์ด้วยโรคอื่น
ผู้ป่วยจะมีอาการชัดเจนเมื่อเนื้อไตทั้ง 2 ข้างถูกทำลายจนทำหน้าที่ได้น้อยกว่าร้อยละ 15 ของไตปกติ โดยจะสังเกตว่ามีปัสสาวะออกมาก และปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดินบ่อย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ขาดสมาธิ ตามัว ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ คันตามผิวหนัง ชาตามปลายมือปลายเท้า
บางรายอาจมีอาการหอบเหนื่อย สะอึก เป็นตะคริว ใจหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก บวม หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด
เมื่อเป็นมากขึ้น จะมีอาการปัสสาวะออกน้อย
เมื่อเป็นถึงขั้นสุดท้าย ผู้ป่วยจะมีอาการซึม ชัก หมดสติ
การดำเนินโรค
ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา ก็มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ รวมทั้งจะค่อยๆ ลุกลามกลายเป็นไตวายระยะท้าย ซึ่งสร้างความยุ่งยากในการรักษามากขึ้น ถึงขั้นต้องล้างไตหรือเปลี่ยนไต
ในรายที่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องก็จะช่วยชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนออกไปได้
ส่วนผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยการล้างไต หรือเปลี่ยนไตก็มักจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีชีวิตยืนยาวนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป
ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้มีผลกระทบต่อร่างกายแทบทุกส่วนที่สำคัญ ได้แก่
- เนื่องจากไตขับน้ำไม่ได้ ทำให้มีอาการบวมทั่วตัว และทำให้มีน้ำคั่งในกระแสเลือด เป็นผลทำให้ความดันโลหิต และภาวะหัวใจวายตามมา
- ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง เนื่องจากไตขับสารนี้ได้น้อยลง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้นได้
- ภาวะกระดูกอ่อน ทำให้แตกหักง่าย
- ภาวะซีด (โลหิตจาง) เนื่องจากขาดฮอร์โมนอีริโทรพอยเอทิน
- ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว
- ภูมิต้านทานโรคต่ำ ทำให้เป็นโรคติดเชื้อง่าย และรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ
- เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง เช่น ซึม ชัก หมดสติ
การแยกโรค
เนื่องจากภาวะไตวายเรื้อรังมีอาการได้ต่างๆ ซึ่งไม่มีความจำเพาะเจาะจง อาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคอื่นๆ ซึ่งแพทย์จะต้องทำการตรวจวินิจฉัยแยกแยะให้แน่ชัด ตัวอย่างเช่น
- อาการบวม ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในโรคนี้ ก็ต้องแยกจาก โรคไตชนิดอื่น (เช่น โรคหน่วยไตอักเสบ โรคไตเนโฟรติก) โรคตับเรื้อรัง (เช่น ตับแข็ง) ภาวะหัวใจวาย (ซึ่งอาจเกิดจากความดันโลหิตสูง โรคหัวใจต่างๆ)
- อาการซีด ก็ต้องแยกจาก โรคเลือดบางชนิด (เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางจากภาวะไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น ซึ่งมักจะมีไข้ จุดแดงจ้ำเขียว ร่วมด้วย) โรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก (ซึ่งจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาธาตุเหล็กบำรุงเลือด)
- อ่าน 13,154 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้