คอพอกเป็นพิษ
โดยทั่วไปแพทย์จะให้การรักษาด้วยยาต้านไทรอยด์ เช่น ยาเม็ดพีทียู (PTU) หรือเมทิมาโซล (methimazole) ซึ่งจะยับยั้งการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ให้ลดลงสู่ระดับปกติ หลังให้ยาแพทย์จะนัดมาดูอาการและตรวจระดับฮอร์โมน ไทรอยด์ในเลือดเป็นระยะ
ยานี้มีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ อาจทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งทำให้ติดเชื้อรุนแรงได้ ซึ่งพบได้ประมาณ 1 ใน 200 คน และมักจะเกิดขึ้นในระยะ 2 เดือนแรกของการใช้ยา ดังนั้น ในช่วงนี้แพทย์ (อาจ) ทำการตรวจนับจำนวนเม็ดเลือดขาวทุก 1-2 สัปดาห์จนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีผลข้างเคียงดังกล่าว
ในระยะแรกแพทย์จะให้ยาต้านไทรอยด์ขนาดสูง เมื่อดีขึ้น จะค่อยๆ ลดยาลง จนเหลือวันละ 1 เม็ด ซึ่งอาจต้องกินติดต่อไปนานอย่างน้อย 2 ปี หากหยุดยาแล้ว โรคกำเริบขึ้นใหม่ ก็ต้องให้ยากินต่อไปเรื่อยๆ
บางรายแพทย์อาจให้การรักษาด้วยการให้ผู้ป่วยดื่มน้ำแร่ ซึ่งเป็นสารไอโอดีนที่มีกัมมันตรังสี เพื่อทำลาย เนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์เพื่อลดการสร้างฮอร์โมนลง
บางรายแพทย์อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์
ทั้ง 2 วิธีนี้มักเกิดผลแทรกซ้อนตามมาคือ เหลือเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์ที่สร้างฮอร์โมนได้น้อยเกินไป เรียกว่า ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (hypothyroidism) ผู้ป่วยจะมีอาการบวม น้ำหนักขึ้น ขี้หนาว เฉื่อยชา ท้องผูก ชีพจรเต้นช้า ความคิดความอ่านช้า ซึ่งจำเป็นต้องกินฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนทุกวันไปจนชั่วชีวิต
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการแสดงของโรค ได้แก่ ใจสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด มือสั่น ชีพจรเต้นเร็ว คอพอก และตาโปน และยืนยันโดยการตรวจเลือดพบระดับฮอร์โมนไทรอยด์ (ไทร็อกซีน) สูงกว่าปกติ ถ้าจำเป็น อาจทำการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น สแกนไทรอยด์ ตรวจคลื่นหัวใจ เอกซเรย์ปอด เป็นต้น
- อ่าน 17,959 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้