บาดทะยัก
หากมีอาการสงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ควรไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว และรับการรักษาอย่างจริงจังจากทางโรงพยาบาลจนกว่าจะปลอดภัย
การป้องกัน
โรคนี้แม้ว่าจะมีความร้ายแรง แต่ก็สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งมีหนทางปฏิบัติ ดังนี้
- เด็กทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก โดยการฉีดวัคซีนรวมป้องกันคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (วัคซีน DTP) รวม 5 เข็ม เมื่ออายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 1 ขวบครึ่ง, 2 ขวบ และ 4-5 ขวบ หลังจากนั้นควรฉีดกระตุ้นทุกๆ 10 ปี
-
หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 1 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 6 เดือน (ถ้าฉีดไม่ทันขณะตั้งครรภ์ ก็ฉีดหลังคลอด)
- ถ้าหญิงตั้งครรภ์เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน ในระหว่างตั้งครรภ์
- ถ้าหญิงตั้งครรภ์เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียง 1 ครั้ง แต่ถ้าเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น
- ควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์คลอดกับบุคลากรที่รู้จักรักษาความสะอาดในการทำคลอด ไม่ใช้ไม้รวก ตับจาก มีดหรือกรรไกร ที่ไม่ได้ทำการฆ่าเชื้อตัดสายสะดือเด็ก นอกจากนี้ควรแนะนำให้รู้จักทำความสะอาดสะดือเด็ก ไม่บ้วนน้ำหมาก น้ำลายลงบนสะดือเด็ก
- เมื่อมีบาดแผลตะปูตำ หนามตำ สัตย์กัด ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือบาดแผลสกปรก ควรชะล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน ถ้าบาดแผลสกปรกหรือแผลใหญ่ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรับการฉีดอิมมูนโกลบูลินต้านพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin) หรือเซรุ่มแก็พิษบาดทะยัก (tetanus antitoxin) ยาชนิดหลังนี้ทำจากเซรุ่มม้า อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ทางที่ดีควรฉีดในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตเตรียมไว้พร้อม
ส่วนผู้ที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน ควรฉีดกระตุ้นซ้ำอีก 1 เข็ม ไม่ต้องฉีดอิมมูนโกลบูลินหรือเซรุ่มแก็พิษบาดทะยัก แต่ถ้าเพิ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักภายใน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น
- อ่าน 8,025 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้