มะเร็งกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้ (เช่น มีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอักเสบเรื้อรัง หรือติดเชื้อ เฮลิโคแบกเทอร์ไพโลรี) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็ก กระเพาะโดยการส่องกล้อง อาจต้องทำการตรวจเช็กปีละครั้ง ถ้าพบว่าเริ่มมีความผิดปกติ จะได้รีบหาทางป้องกันหรือรักษาให้ได้ผล และมีชีวิตยืนยาว
-
ผู้ที่มีอาการปวดแสบลิ้นปี่เวลาก่อนกินอาหาร หรือจุกแน่นท้องหลังกินอาหาร ถ้าเพิ่งเป็นครั้งแรก โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ และมีอายุต่ำกว่า 40 ปี ให้กินยาต้านกรด ครั้งละ 15-30 มิลลิลิตร หลังอาหาร 3 มื้อและก่อนนอน
- ถ้ากินยา 2-3 วันรู้สึกทุเลา ให้กินยาจนครบ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ทุเลาตั้งแต่แรก ควรไปพบแพทย์
- ในกรณีกินยา 2 สัปดาห์แล้วไม่หายดี ควรไปพบแพทย์
- ถ้าหายดี ควรกินยาจนครบ 6-8 สัปดาห์
-
หากกินยาครบ 6-8 สัปดาห์ แล้วต่อมามีอาการกำเริบก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ
นอกจากนี้ ถ้าผู้ป่วยมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ก็ควรรีบไปพบแพทย์
- มีอายุเกิน 40 ปี แม้จะมีอาการเป็นครั้งแรก และไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ก็ควรปรึกษาแพทย์
- มีอาการปวดรุนแรง ปวดนานเกิน 6 ชั่วโมง กระเทือนถูกเจ็บ อาเจียน ถ่ายอุจจาระดำ ตาเหลือง ตัวเหลือง หรือน้ำหนักลด เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
-
หากตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรปฏิบัติตัวดังนี้
- ติดตามรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่องตามนัด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจ ด้วยการยอมรับความจริง ทำใจให้อยู่กับปัจจุบัน หมั่นทำสมาธิ เจริญสติ สวดมนต์ ภาวนา
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินผักผลไม้ เมล็ดถั่วเหลือง เต้าหู้ให้มากๆ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายไม่ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ
- หมั่นออกกำลังกายเท่าที่ร่างกายจะรับได้เป็นประจำ
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเช่น งดบุหรี่ เหล้า หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีรสเค็ม อาหารหมักดอง รมควัน และอาหารใส่ดินประสิวเป็นประจำ
- กินผักและผลไม้ให้มากๆ ทุกวัน
- อ่าน 36,547 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้