ไส้ติ่งอักเสบ
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องที่มีลักษณะต่อเนื่องและปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็มักจะปวดอยู่นานหลายวัน จนผู้ป่วยทนปวดไม่ไหวต้องพาส่งโรงพยาบาลแรกเริ่มอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่คล้าย โรคกระเพาะ บางคนอาจปวดบิดเป็นพักๆ รอบๆ สะดือ คล้ายอาการปวดแบบท้องเสีย อาจเข้าส้วมบ่อย แต่ถ่ายไม่ออก (แต่บางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย) ต่อมาจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารร่วมด้วย อาการปวดท้องมักจะไม่ทุเลา แม้ว่าจะกินยาแก้ปวดอะไรก็ตาม ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา และจะเจ็บมากขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม ผู้ป่วยจะนอนนิ่งๆ ถ้าเป็นมากผู้ป่วยจะนอนงอขา ตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น
เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งชัดเจน มีวิธีตรวจอย่างง่ายๆ คือ ให้ผู้ป่วยนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆ หรือใช้กำปั้นทุบเบาๆ ตรงบริเวณไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา) ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) ผู้ป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ (วัดปรอทพบอุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) อย่างไรก็ตาม พบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบ อาจไม่มีอาการตรงไปตรงมา (ตามแบบฉบับ) ดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ อาจมีอาการปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อยขวา โดยไม่มีอาการอย่างอื่นนำมาก่อนก็ได้
ส่วนในเด็กเล็ก อาการอาจไม่ชัดเจนอาจมีอาการปวดท้องทั่วๆ ไป โดยไม่พบว่ามีอาการกดเจ็บตรงบริเวณไส้ติ่งก็ได้
ในคนสูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ อาการปวดท้องจะเป็นไม่รุนแรง และอาจไม่มีอาการกดเจ็บเช่นกัน อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นก็มักจะมีอาการปวดท้องนานเกิน 6 ชั่วโมง หากพบลักษณะนี้ก็ควรจะปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
การดำเนินโรค
ถ้าได้รับการผ่าตัดภายใน 24-36 ชั่วโมง มักจะไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน และตัดไหมหลังผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนาน ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น และหลังผ่าตัดอาจมีการติดเชื้อของแผลผ่าตัดแทรกซ้อน ทำให้เกิดความยุ่งยากในการรักษาได้
ภาวะแทรกซ้อน
ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัด ไส้ติ่งอาจเน่าและแตกทะลุภายใน 24-36 ชั่วโมง หลังมีอาการบางคนอาจกลายเป็นฝีรอบๆ ไส้ติ่ง ภาวะแทรกซ้อนมักพบบ่อยในเด็กเล็ก คนสูงอายุ และผู้ป่วยเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาได้ทันกาล ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้แต่ถ้าได้รับการผ่าตัดรักษาอย่างถูกต้อง โอกาสตายก็นับว่าน้อยมาก
การแยกโรค
ในระยะแรกเริ่มที่มีอาการปวดตรงลิ้นปี่ หรือรอบๆ สะดือ อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
- โรคกระเพาะจะมีอาการจุกแน่น หรือปวดแสบตรงลิ้นปี่มักมีอาการตอนก่อนหรือหลังกินข้าว และมักจะเป็นอยู่นานครึ่งชั่วโมง 1 ชั่วโมงแล้วก็จะทุเลาไป แต่จะกลับมากำเริบเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป อาการมักจะทุเลาได้ด้วยการกินยาลดกรด
- นิ่วในถุงน้ำดี (นิ่วน้ำดี) จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ตรงลิ้นปี่ และใต้ชายโครงขวานานเป็นชั่วโมงๆ คลื่นไส้ อาเจียน อาการอาจ ทุเลาไปได้เอง แต่อาจกำเริบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกินอาหารมันๆ
-
ท้องเดิน มีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ รอบๆ สะดือ ร่วมกับถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหรือมีไข้ร่วมด้วย
ทั้ง 3 สาเหตุนี้ ไม่มีอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ถ้ามีก็ควรสงสัยว่าอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบก็ได้ - กระเพาะเป็นแผลทะลุ จะมีอาการปวดรุนแรงตรงบริเวณลิ้นปี่ติดต่อกันเกิน 6 ชั่วโมง ใจหวิว ใจสั่น บริเวณที่ปวดจะกดเจ็บและแข็งตึง หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์
- กระเพาะลำไส้อุดกั้น จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ทั่วท้อง อาเจียนบ่อย นานเป็นวันๆ มักกินอาหารไม่ลง (จะอาเจียนทุกครั้ง) และถ่ายไม่ออก (ท้องผูก) อาจมีประวัติการผ่าตัดในช่องท้องมาก่อน หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์
ในรายที่มีอาการปวดตรงท้องน้อยข้างขวา อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
- ครรภ์นอกมดลูก จะมีอาการปวดเสียดท้องน้อย หน้ามืด เป็นลม ใจสั่น หน้าตาซีดเซียว และมีประวัติขาดประจำเดือน หรือมีอาการแพ้ท้องมาก่อนหน้านี้ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบไปโรงพยาบาล
- นิ่วในท่อไต จะมีอาการปวดเกร็งเป็นพักๆ ตรงท้องน้อย และปวดร้าวลงมาที่อัณฑะหรือช่องคลอดข้างเดียวกันจะไม่มีอาการกดเจ็บ หากสงสัยก็ควรรีบไปพบแพทย์
- ปวดประจำเดือน จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ตรงท้องน้อย เวลามีประจำเดือนอยู่ 3-4 วัน ก็จะหายไปเอง มักเป็นๆ หายๆ เวลามีประจำเดือนทุกเดือน จะไม่มีอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา และไม่มีไข้ แต่ถ้าปวดรุนแรงและกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ก็ควรรีบไปพบแพทย์
- ปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน จะมีไข้สูง ปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อย อาจมีอาการขัดเบา ตกขาวร่วมด้วย หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์
- กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดและเคาะเจ็บตรงสีข้าง ปัสสาวะขุ่น อาจมีอาการขัดเบาร่วมด้วยหากสงสัยก็ควรรีบไปพบแพทย์
- อ่าน 40,946 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้