Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » ดูแลสุขภาพด้วยตนเอง » ข้อมูลโรคและการรักษา » ไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ

  • อาการ
  • สาเหตุ
  • การรักษา
  • การดูแลตนเอง
  • อื่นๆ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องที่มีลักษณะต่อเนื่องและปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็มักจะปวดอยู่นานหลายวัน จนผู้ป่วยทนปวดไม่ไหวต้องพาส่งโรงพยาบาลแรกเริ่มอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่คล้าย โรคกระเพาะ บางคนอาจปวดบิดเป็นพักๆ รอบๆ สะดือ คล้ายอาการปวดแบบท้องเสีย อาจเข้าส้วมบ่อย แต่ถ่ายไม่ออก (แต่บางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย) ต่อมาจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารร่วมด้วย อาการปวดท้องมักจะไม่ทุเลา แม้ว่าจะกินยาแก้ปวดอะไรก็ตาม ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา และจะเจ็บมากขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม ผู้ป่วยจะนอนนิ่งๆ ถ้าเป็นมากผู้ป่วยจะนอนงอขา ตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น

เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งชัดเจน มีวิธีตรวจอย่างง่ายๆ คือ ให้ผู้ป่วยนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆ หรือใช้กำปั้นทุบเบาๆ ตรงบริเวณไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา) ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) ผู้ป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ (วัดปรอทพบอุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) อย่างไรก็ตาม พบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบ อาจไม่มีอาการตรงไปตรงมา (ตามแบบฉบับ) ดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ อาจมีอาการปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อยขวา โดยไม่มีอาการอย่างอื่นนำมาก่อนก็ได้

ส่วนในเด็กเล็ก อาการอาจไม่ชัดเจนอาจมีอาการปวดท้องทั่วๆ ไป โดยไม่พบว่ามีอาการกดเจ็บตรงบริเวณไส้ติ่งก็ได้

ในคนสูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ อาการปวดท้องจะเป็นไม่รุนแรง และอาจไม่มีอาการกดเจ็บเช่นกัน อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นก็มักจะมีอาการปวดท้องนานเกิน 6 ชั่วโมง หากพบลักษณะนี้ก็ควรจะปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

การดำเนินโรค

ถ้าได้รับการผ่าตัดภายใน 24-36  ชั่วโมง มักจะไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน และตัดไหมหลังผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนาน ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น และหลังผ่าตัดอาจมีการติดเชื้อของแผลผ่าตัดแทรกซ้อน ทำให้เกิดความยุ่งยากในการรักษาได้

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัด ไส้ติ่งอาจเน่าและแตกทะลุภายใน 24-36 ชั่วโมง หลังมีอาการบางคนอาจกลายเป็นฝีรอบๆ ไส้ติ่ง ภาวะแทรกซ้อนมักพบบ่อยในเด็กเล็ก คนสูงอายุ และผู้ป่วยเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาได้ทันกาล ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้แต่ถ้าได้รับการผ่าตัดรักษาอย่างถูกต้อง โอกาสตายก็นับว่าน้อยมาก

การแยกโรค

ในระยะแรกเริ่มที่มีอาการปวดตรงลิ้นปี่ หรือรอบๆ สะดือ อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น

  1. โรคกระเพาะจะมีอาการจุกแน่น หรือปวดแสบตรงลิ้นปี่มักมีอาการตอนก่อนหรือหลังกินข้าว และมักจะเป็นอยู่นานครึ่งชั่วโมง 1 ชั่วโมงแล้วก็จะทุเลาไป แต่จะกลับมากำเริบเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป อาการมักจะทุเลาได้ด้วยการกินยาลดกรด
  2. นิ่วในถุงน้ำดี (นิ่วน้ำดี) จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ตรงลิ้นปี่ และใต้ชายโครงขวานานเป็นชั่วโมงๆ คลื่นไส้ อาเจียน อาการอาจ ทุเลาไปได้เอง แต่อาจกำเริบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกินอาหารมันๆ
  3. ท้องเดิน มีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ รอบๆ สะดือ ร่วมกับถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหรือมีไข้ร่วมด้วย

    ทั้ง 3 สาเหตุนี้ ไม่มีอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ถ้ามีก็ควรสงสัยว่าอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบก็ได้
  4. กระเพาะเป็นแผลทะลุ จะมีอาการปวดรุนแรงตรงบริเวณลิ้นปี่ติดต่อกันเกิน 6 ชั่วโมง ใจหวิว ใจสั่น บริเวณที่ปวดจะกดเจ็บและแข็งตึง หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์
  5. กระเพาะลำไส้อุดกั้น จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ทั่วท้อง อาเจียนบ่อย นานเป็นวันๆ มักกินอาหารไม่ลง (จะอาเจียนทุกครั้ง) และถ่ายไม่ออก (ท้องผูก) อาจมีประวัติการผ่าตัดในช่องท้องมาก่อน หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์

ในรายที่มีอาการปวดตรงท้องน้อยข้างขวา อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น

  1. ครรภ์นอกมดลูก จะมีอาการปวดเสียดท้องน้อย หน้ามืด เป็นลม ใจสั่น หน้าตาซีดเซียว และมีประวัติขาดประจำเดือน หรือมีอาการแพ้ท้องมาก่อนหน้านี้ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบไปโรงพยาบาล
  2. นิ่วในท่อไต จะมีอาการปวดเกร็งเป็นพักๆ ตรงท้องน้อย และปวดร้าวลงมาที่อัณฑะหรือช่องคลอดข้างเดียวกันจะไม่มีอาการกดเจ็บ หากสงสัยก็ควรรีบไปพบแพทย์
  3. ปวดประจำเดือน จะมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ตรงท้องน้อย เวลามีประจำเดือนอยู่ 3-4 วัน ก็จะหายไปเอง มักเป็นๆ หายๆ เวลามีประจำเดือนทุกเดือน จะไม่มีอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา และไม่มีไข้ แต่ถ้าปวดรุนแรงและกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ก็ควรรีบไปพบแพทย์
  4. ปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน จะมีไข้สูง ปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อย อาจมีอาการขัดเบา ตกขาวร่วมด้วย หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์
  5. กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดและเคาะเจ็บตรงสีข้าง ปัสสาวะขุ่น อาจมีอาการขัดเบาร่วมด้วยหากสงสัยก็ควรรีบไปพบแพทย์
  • อ่าน 41,615 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

301-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 301
พฤษภาคม 2004
สารานุกรมทันโรค
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
Skip to Top

คุณไม่สบายตรงไหน

  • ศีรษะหู ตา คอ จมูก ปาก
  • ลำตัวท้อง แขน มือ อวัยวะภายใน
  • ลำตัวส่วนล่างอวัยวะเพศ ขา เท้า
  • อาการทั่วไป ไข้หวัด ผิวหนัง ฯลฯ

ข้อมูลสุขภาพ

  • โรค
  • ยา
  • สมุนไพร
  • ปฐมพยาบาล
Doctor Me

  • สนับสนุนสื่อสุขภาพออนไลน์หมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • คำแนะนำสำหรับประชาชน เรื่อง โรคจากเชื้อแบคทีเรีย อีโคไลชนิดรุนแรง
  • ผ่าตัดฟรีสำหรับเด็ก ที่เป็นโรคหัวใจ
  • สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย (สพท.)
Appstore
GooglePlay

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <