ไส้ติ่งอักเสบ
เมื่อมีอาการปวดท้องที่มีลักษณะไม่เหมือนอาการปวดโรคกระเพาะ ท้องเดิน หรือปวดประจำเดือนอย่างที่เคยเป็นมา ก็พึงให้สงสัยว่าอาจมีสาเหตุร้ายแรง โดยทั่วไปควรรีบไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
- ปวดรุนแรง หรือปวดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
- กดหรือเคาะเจ็บตรงบริเวณที่ปวด
- อาเจียนบ่อย กินอะไรก็ออกหมด
- มีอาการหน้ามืด เป็นลม ใจหวิว ใจสั่น
- มีไข้สูง หรือหนาวสั่น
- หน้าตาซีดเหลือง
- กินยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ทุเลาหรือกลับรุนแรงขึ้น
ข้อสำคัญผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกร่วมด้วยถ้าพบว่ามีอาการปวดท้องรุนแรงกว่าปกติ ก็ห้ามกินยาถ่าย หรือทำการสวนทวาร และถ้าสงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบก็ควรจะงดกินอาหารและน้ำ เพื่อเตรียมตัวให้แพทย์ผ่าตัด
การป้องกัน
เนื่องจากยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างทำให้เป็นโรคนี้ จึงไม่อาจแนะนำวิธีป้องกันโรคนี้ได้
มีข้อสังเกตว่า ประชากรที่นิยมกินอาหารพวกผักผลไม้มาก (เช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่กินผักผลไม้น้อย (เช่น ชาวตะวันตก) จึงมีการแนะนำให้พยายามกินผักผลไม้ให้มากๆ ทุกวัน ซึ่งมีผลดีต่อการป้องกันโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน และยังเชื่อว่าอาจป้องกันไส้ติ่งอักเสบ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
- อ่าน 39,866 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้