โรคหวัดภูมิแพ้
แพทย์จะซักถามอาการ โดยเฉพาะถามหาสิ่งที่ผู้ป่วยแพ้แล้วแนะนำให้ผู้ป่วยพยายามหลีกเลี่ยง ถ้ามีอาการมาก จำเป็นต้องใช้ยาก็อาจให้ยากินแก้แพ้ ซึ่งมีให้เลือกใช้อยู่หลายชนิด เช่น คลอร์เฟนิรามีน (chlorpheniramine), บรอมเฟนิรามีน (brompheniramine), ไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine), ไฮดรอกไซซีน (hydroxyzine),ไตรโพรลิดีน (triprolidine) เป็นต้น ยาเหล่านี้จะมีฤทธิ์ข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ง่วงนอน มึนงง เสมหะเหนียว ปากคอแห้ง ในรายที่จำเป็นต้องใช้ยาแก้แพ้บ่อย แพทย์อาจเลือกใช้ยาแก้แพ้ที่ออกฤทธิ์นาน และไม่ทำให้ง่วงนอน เช่น ลอราทาดีน (loratadine) กินวันละ 1 เม็ด
ในรายที่แพ้มากๆ แพทย์อาจต้องทำการทดสอบผิวหนังว่าแพ้อะไร แล้วทำการฉีดสารที่แพ้ให้ผู้ป่วยทีละน้อยๆ เป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์ นานเป็นปีๆ เพื่อลดปฏิกิริยาแพ้ของร่างกาย (desensitization) วิธีนี้เสียค่ารักษาค่อนข้างแพง ส่วนใหญ่จะได้ผลดี แต่เมื่อหยุดฉีดก็อาจกำเริบได้ใหม่ โดยทั่วไป แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ และหมั่นออกกำลังกาย เช่น เต้นแอโรบิก, วิ่งเหยาะ, เดินเร็วๆ, เล่นกีฬาต่างๆ ถ้าทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โรคภูมิแพ้ก็อาจทุเลาได้ และอาจลดละยาที่ใช้ได้
การวินิจฉัย
มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดง ได้แก่ อาการคัดจมูก คันคอ คันจมูก จาม น้ำมูกไหล เวลาสัมผัสถูกสิ่งที่แพ้ ในรายที่เป็นเรื้อรัง และไม่ทราบว่าแพ้อะไร แพทย์อาจทำการทดสอบผิวหนัง (skin test) ว่าแพ้สารอะไร หากสงสัยเป็นจากสาเหตุอื่น เช่น ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก มะเร็งจมูกหรือมะเร็งโพรงหลังจมูก อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เป็นต้น
- อ่าน 10,706 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้