ชักจากไข้
แพทย์จะให้การรักษา ตามสาเหตุของอาการไข้ และความรุนแรงของอาการชัก ดังนี้
- รักษาสาเหตุของไข้โดยให้ยาลดไข้และยาบรรเทาอาการเท่าที่จำเป็น อาจต้องให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคไตรม็อกซาโซล อีริโทรไมซิน เป็นต้น ในรายที่เกิดจากโรคติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ทอนซิลอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ บิด เป็นต้น
-
ส่วนอาการชัก แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
- ถ้ายังชักต่อเนื่องเกิน 10 นาที (ขณะตรวจยังไม่หยุดชัก) แพทย์จะให้ยาแก้ชัก เช่น ยาไดอะซีแพม (diazepam) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือสวนทางทวารหนัก หรือให้ยาไมดาโซแลม (midazolam) หยอดให้ทางจมูก
-
ถ้ามาถึงโรงพยาบาล เด็กหยุดชักแล้ว แพทย์จะให้ยากันชักร่วมกับยาลดไข้และยารักษาโรค (ตามข้อ 1) ให้กลับไปกินที่บ้าน เมื่อไข้หายดีแล้ว แพทย์อาจแนะนำให้มียาลดไข้และยากันชักเก็บสำรองไว้ประจำบ้าน ต่อไปทุกครั้งที่เด็กมีไข้ใหม่ก็ให้รีบกินยาลดไข้ร่วมกับยากันชัก (ได้แก่ ไดอะซีแพม กินขนาดวันละ 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้วันละ 3-4 ครั้ง) จนกว่าอาการไข้ในครั้งนั้นจะหายขาด (ถ้าเกิดจากไข้หวัด อาจมีอาการไข้อยู่นาน 2-4 วัน)
ส่วนเด็กที่เคยมีอาการชักจากไข้ชนิดไม่ซับซ้อนตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป หรือมีอาการชักจากไข้ชนิดซับซ้อนเพียงครั้งเดียว แพทย์อาจพิจารณาให้เด็กกินยากันชักอีกชนิดหนึ่ง ได้แก่ ฟีโนบาร์บิทาล (phenobarbital) กินก่อนนอนทุกคืน (ทั้งที่มีไข้และไม่มีไข้) ติดต่อกันนาน 2 ปี หรือจนกว่าจะถึงอายุ 5 ขวบเต็ม ยาชนิดนี้กินติดต่อกันนานๆ อาจมีผลข้างเคียง คือ เด็กซนผิดปกติ หรืออาจมีสติปัญญาอ่อนด้อยลงกว่าปกติได้ ดังนั้น แพทย์จะพิจารณาให้ยากันชักชนิดนี้กินต่อเนื่องกันนานๆ ก็แต่เฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น - เด็กที่มีอาการชักจากไข้เป็นครั้งแรกในชีวิต แพทย์อาจพิจารณาทำการเจาะหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 เดือน หรือมีประวัติกินยาปฏิชีวนะในการเจ็บป่วยคราวนี้ก่อนมาพบแพทย์ ทั้งนี้เพื่อนำน้ำไขสันหลังไปพิสูจน์ให้แน่ใจว่าไม่ใช่เกิดจากโรคติดเชื้อของสมอง
การวินิจฉัย
ในการวินิจฉัยอาการชักจากไข้ แพทย์มักจะอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นพื้นฐาน ในกรณีที่เป็นการชักครั้งแรกอาจต้องทำการเจาะหลังเพื่อนำน้ำไขสันหลังไปพิสูจน์ว่ามีสาเหตุจากโรคติดเชื้อของสมองหรือไม่ นอกจากนี้หากจำเป็นอาจต้องทำการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคลื่นสมอง หรือตรวจพิเศษอื่นๆ
- อ่าน 10,860 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้