โรคปวดข้อรูมาตอยด์
ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูกนำมาก่อนนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น
ส่วนน้อยอาจมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้นฉับพลันภายหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ หลังผ่านตัด หลังคลอด หรืออารมณ์เครียด ซึ่งบางรายอาจมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโตร่วมด้วย
ข้อที่เริ่มมีอาการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นที่ข้อไหล่ ข้อศอก
ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะ คือมีอาการปวดข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวมเหมือนรูปกระสวย ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่ข้อขากรรไกรลงมาที่ต้นคอ ไหปลาร้า ข้อไหล่ ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือลงมาจนถึงข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า
บางรายอาจมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อหรือไม่กี่ข้อ และอาจเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย(ไม่เกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย ก็ได้)
อาการปวดข้อและข้อเเข็ง (ขยับลำบาก) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า ทำให้รู้สึกขี้เกียจหรือไม่อยากตื่นนอน พอสายๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายจะลุเลา
บางรายอาจมีการปวดข้อตอนกลางคืน จนนอนไม่หลับ
อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวัน และมากขึ้นทุกขณะนานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับกำเริบรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์
ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้ออาจจะเเข็งแรงและพิการได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะโลหิตจาง ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง อาการปวดชาปลายมือจากภาวะเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น อาการนิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud' s phenomenon) ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ตาอักเสบ หัวใจอักเสบ หลอดเลือดแดงอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ไข้ต่ำๆ น้ำหนักลด เป็นต้น
การดำเนินโรค
โรคนี้มักเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ข้อพิการได้ (ในบ้านเราพบว่าเพียงส่วนน้อยที่อาจมีข้อพิการรุนแรงแทรกซ้อน)
ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และปฎิบัติตัวอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่อาการจะทุเลาได้ หรืออาจหายขาดได้ มีเพียงร้อยละ 20-30 ที่อาจมีอาการรุนแรงที่ต้องใช้ยานอกเหนือจากยากต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์
ภาวะแทรกซ้อน
ถ้าเป็นรุนแรงและเรื้อรังอาจทำให้ข้อพิการผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ บางรายอาจมีการผุกกร่อนของกระดูก
ในบ้านเราพบว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว
การแยกโรค
ในรายที่มีอาการปวดตามข้อนิ้วมือนิ้วเท้าทุกนิ้วพร้อมกันทั้ง 2 ข้างอาจต้องแยกออกจากโรคเอสแอลอี (SLE) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากปฎิกิริยาภูมิต้านตนเองชนิดหนึ่งที่มีความร้ายแรง และพบมากในผู้หญิงอายุ 20-50 ปี เช่นเดียวกับโรคปวดข้อรูมาตอยด์ นอกจากอาการปวดข้อแล้วผู้ป่วยยังมีอาการไข้เรื้อรังนานเป็นแรมเดือน ผมร่วง มีฝ้าแดงขึ้นที่โหนกแก้ม 2 ข้างคล้ายรูปปีกผีเสื้อ อาจมีอาการซีด ลมพิษ ผื่นคัน จุดแดง หรือบวมทั้งตัวร่วมด้วย
ในรายที่มีข้ออักเสบ (ปวดบวม แดงร้อน) เพียง 1 ข้อหรือไม่กี่ข้อ ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- เกาต์ (gout) ผู้ป่วยมักมีอาการปวดบวม แดงร้อนที่ข้อหัวแม่เท้า หรือข้อเท้า ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันหลังกินเลี้ยง ดื่มเหล้า หรือกินอาหารที่ทำให้ยูริกในเลือดสูง (เช่น เครื่องในสัตว์ ยอดผักหรือพืชหน่ออ่อน หรือเนื้อสัตว์ปริมาณมาก) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
- ไข้รูมาติก (rheumatic fever) ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ร่วมกับอาการปวดบวม แดงร้อนที่ข้อใหญ่ๆ (เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก) เพียง 1 ข้อก่อน แล้วย้ายไปที่ข้ออื่นทีละข้อ มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และอาจมีประวัติเป็นไข้และเจ็บคอ (ทอนซิลอักเสบ) นำมาก่อน 1-4 สัปดาห์
- อ่าน 22,924 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้