ไข้หวัด
เนื่องจากไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้การรักษาไปตามอาการเท่านั้น ได้แก่
-
แนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ดังนี้
- พักผ่อนมากๆ ห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป
- สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัดและอย่าอาบน้ำเย็น
- ดื่มน้ำมากๆเพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
- ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ
- ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก็อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
-
ให้ยารักษาตามอาการ ดังนี้
-
สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต (อายุมากกว่า 5 ขวบ)
- ถ้ามีไข้สูง ให้พาราเซตามอล (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงได้) ควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราวเฉพาะเวลามีีไข้สูง ถ้ามีไข้ต่ำๆ หรือไข้พอทนได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกิน
- ถ้ามีอาการน้ำมูกไหลมากจนสร้างความรำคาญ ให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ใน 2-3 แรก เมื่อทุเลาแล้วควรหยุดยา หรือกรณีที่มีอาการไม่มาก ก็ไม่จำเป็นต้องให้ยานี้
- ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมากๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) ถ้าไอมากลักษณะไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ ให้ยาระงับการไอ
-
สำหรับเด็กเล็กและทารก
- ถ้ามีไข้ให้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม
- ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้ลูกยางเบอร์ 2 ดูดน้ำมูกออกบ่อยๆ (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรใช้น้ำเกลือหยอดในจมูกก่อน) หรือใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่งสอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรชุบน้ำสุกหรือน้ำเกลือพอชุ่มก่อน)
- ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมากๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว* ถ้ามีอาการอาเจียนเวลาไอ ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้อาเจียน ควรแนะนำให้ป้อนนมและอาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจะเข้านอน
-
สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต (อายุมากกว่า 5 ขวบ)
- ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้ เพราะไม่ได้ผลต่อการฆ่าเชื้อหวัดซึ่งเป็นไวรัส (อาการที่สังเกตได้คือ มีน้ำมูกใสๆ หรือสีขาว) ยกเว้นในรายที่สงสัยว่าจะมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม เช่น มีไข้ทุกวันติดต่อกันเกิน 4 วัน มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 24 ชั่วโมง หรือปวดหู หูอื้อ
- ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ให้งดยาแก้แพ้ และยาระงับการไอ และให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆ วันละ 10-15 แก้ว
- ถ้ามีอาการหอบ หรือนับหารหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือน หายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที, อายุ 2 เดือนถึง 1 ขวบ หายใจมากว่า 50 ครั้ง/นาที, อายุ 1-5 ขวบหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือมีไข้นานเกิน 7 วัน ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว อาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะรุนแรงอื่นๆได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น
- ถ้ามีอาการเจ็บคอมาก ไข้สูงตลอดเวลา ซึม เบื่ออาหารมาก ปวดเมื่อยมาก ปวดหู หู้อื้อ หรือสงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดนก (มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วัน) หรือมีไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวไม่เกิน 24 ชัั่วโมง ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
*ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำผึ้งแก่ทารกอายุต่ำกว่า 1 ขวบ เพราะอาจรับอันตรายจากเชื้อคลอสทริเดียมโบทูลินัมที่อาจปนเปื้อนมากับน้ำผึ้ง
การป้องกัน
- หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำทำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงไม่ควรอาบน้ำ หรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น
-
ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิด (เช่น คนในบ้าน โรงเรียน หรือที่ทำงาน) ป่วยเป็นโรคนี้ควรปฏิบัติดังนี้
- ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่เพื่อชะเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูก
- อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่
- อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า, ผ้าเช็ดตัว, แก้วน้ำ, โทรศัพท์, ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
- ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมากๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย
- อ่าน 51,946 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้