วัณโรคปอด
ที่สำคัญคือ อาการไข้และไอเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์ๆ ถึงเป็นแรมเดือน
แรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือหลอดลมอักเสบ โดยมีอาการไอเป็นหลัก ระยะแรกเป็นลักษณะไอแห้งๆ ต่อมาจะไอมีเสมหะเป็นสีเหลืองหรือเขียว มักมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำๆ ตอนบ่ายๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย อาจมีอาการเหงื่อออกตอนกลางคืน บางครั้งอาจออกมากจนโชกเสื้อผ้าและที่นอน ผู้ป่วยมักซื้อยาหรือหาหมอมารักษาแต่อาการไม่ทุเลา จะมีอาการต่อเนื่องนาน 2-3 สัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน ผู้ป่วยจะมีอาการไอถี่ขึ้น อ่อนเพลีย เบื่ออาหารมากขึ้น น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว
ผู้ป่วยอาจมีอาการไอออกมาเป็นเลือดสีแดงๆ หรือดำๆ ซึ่งมักจะออกปริมาณไม่มาก มีน้อยรายมากที่อาจมีเลือดออกจนซีด หรือเป็นลม หน้ามืด มือเท้าเย็น
บางรายอาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือหอบเหนื่อยง่าย หรือเจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าลึกๆ เนื่องจากมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มปอดอักเสบ หรือโรคลุกลามไปทั่วปอด
บางรายอาจมีอาการไข้นานเป็นแรมเดือน โดยไม่มีอาการไอหรืออาการอื่นๆ ชัดเจนก็ได้
ในรายที่เป็นวัณโรคปอดเพียงเล็กน้อย อาจไม่มีอาการอะไรเลย และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการเห็น “จุด” ในปอดจากภาพถ่ายรังสี (ภาพเอกซเรย์)
การดำเนินโรค
หากไม่ได้รับการรักษา ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น
ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจจะทุเลาภายใน 1-2 สัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกสบายดี ผู้ป่วยก็จำเป็นต้องกินยาให้ครบ 6–9 เดือน ตามสูตรยาที่แพทย์แนะนำ ก็จะช่วยให้หายขาดได้ แต่ถ้ากินไม่ครบ หรือกินๆ หยุดๆ ก็มักทำให้เชื้อดื้อยา การรักษาก็จะมีความยุ่งยากมากขึ้น หากมีการดื้อยาหลายขนาน โรคก็อาจเป็นเรื้อรังและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อน
โรคที่เกิดในปอด อาจลุกลามจนกลายเป็นภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ภาวะมีลมในโพรงเยื่อหุ้มปอด ถุงลมปอดโป่งพอง ฝีปอด (lung abscess) ไอออกเป็นเลือดมากถึงช็อก
เชื้อวัณโรคอาจแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปทั่วร่างกาย กลายเป็นวัณโรคของอวัยวะต่างๆ ซึ่งอาจพบร่วมกับวัณโรคปอดหรือไม่ก็ได้ เช่น
- วัณโรค ต่อมน้ำเหลือง พบบ่อยที่ข้างคอ มีลักษณะเป็นก้อนบวมที่ข้างคอ นุ่ม ไม่มีอาการเจ็บปวด อาจแตกมีหนองไหลเรื้อรัง โบราณเรียกฝีประคำร้อย ไม่มีอาการเจ็บปวด
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค มีอาการไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง ซึม ชัก คอแข็ง
- วัณโรค กระดูก เช่น วัณโรคข้อเข่า (มีไข้เรื้อรัง ข้อบวมแดงร้อน) วัณโรคกระดูกสันหลัง (มีอาการปวดหลังเรื้อรัง หลังคดโก่ง กดเจ็บ อาจมีอาการขาอ่อนแรง)
- วัณโรคกล่องเสียง มีอาการเสียงแหบเรื้อรัง
- วัณโรคลำไส้ มีอาการปวดท้องและท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลด อาจคลำได้ก้อนในท้อง ถ้าลุกลามไปที่เยื่อบุช่องท้องทำให้เกิดอาการท้องมาน
- วัณโรคไต ทำให้เป็นกรวยไตอักเสบเรื้อรัง ตรวจพบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะให้ยาปฏิชีวนะ (ที่ไม่ใช่ยารักษาวัณโรค) หลายชนิดแล้วก็ไม่หาย
- วัณโรคเยื่อหุ้มหัวใจ มีอาการไข้ คอบวม หายใจหอบเหนื่อย
นอกจากนี้ ถ้าเกิดในทารกและเด็กเล็ก อาจกลายเป็นวัณโรคชนิดแพร่กระจาย (miliary tuberculosis) ซึ่งจะมีเชื้อปริมาณมากแพร่กระจายตามกระแสเลือดไปทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจะมีไข้เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง น้ำหนักลด หายใจลำบาก อาจมีภาวะซีด หรือเลือดออก
การแยกโรค
-
ในรายที่มีอาการไข้ (ตัวร้อน) ทุกวันติดต่อกันนานเป็นสัปดาห์ๆ หรือแรมเดือน ก็อาจเกิดจากโรคอื่นๆ เช่น
- เอดส์ ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำหนักลด ท้องเดินเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง เช่น ที่ข้างคอ รักแร้ ขาหนีบ อาจมีอาการทางผิวหนัง (เช่น โรคเริม งูสวัด ผื่นคันตามผิวหนัง) ลิ้นเป็นฝ้าขาวจากโรคเชื้อรา ไอเรื้อรัง หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย
- เมลิออยโดซิส (เกิดจากโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Burkholderia pseudomallei พบมากทางภาคอีสาน) ผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ และไอเรื้อรัง น้ำหนักลด คล้ายวัณโรคได้ จะแยกได้โดยการตรวจพบเชื้อต้นเหตุ
- มาลาเรีย ผู้ป่วยอาจมีไข้หนาวสั่น มีประวัติอยู่หรือกลับจากเขตป่าเขาที่ยังมีการระบาดของโรคนี้
- โรคภูมิต้านตนเอง เช่น เอสเอลอี (SLE) ผู้ป่วยจะมีไข้เรื้อรัง ผมร่วง ปวดตามข้อ มีฝ้าแดงที่โหนกแก้ม 2 ข้าง
- มะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
- ในรายมีอาการไอเป็นเลือด อาจเกิดจากมะเร็งปอด (ผู้ป่วยจะมีอาการไอ เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด อาจมีไข้ร่วมด้วย) หลอดลมพอง (bronchiectasis ผู้ป่วยมักมีอาการไอเรื้อรังทุกวัน ออกเป็นเสมหะเหลืองหรือเขียวเป็นจำนวนมาก มีกลิ่นเหม็น ไอออกเป็นเลือดสด มักไม่มีไข้ และน้ำหนักไม่ลด)
-
อาการไอเรื้อรังเป็นสัปดาห์ๆ หรือแรมเดือน อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คันคอ คันจมูก อาจมีน้ำมูกใสร่วมด้วย มักไอเวลาสัมผัสถูกสิ่งที่แพ้ เช่น ฝุ่น ความเย็น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ นุ่น เป็นต้น
- โรคกรดไหลย้อน ผู้ป่วยมักจะไอหลังอาหารทุกมื้อ หรือตอนเข้านอน อาจมีอาการเจ็บคอ หรือเสียงแหบตอนเช้าหลังตื่นนอน พอสายๆ ค่อยทุเลา หรืออาจมีอาการจุกแน่น หรือปวดแสบตรงลิ้นปี่ หลังกินอาหาร
- หลอดลมอักเสบ มักพบหลังจากเป็นไข้หวัด ผู้ป่วยจะมีอาการไอเวลาถูกสิ่งระคายเคือง เช่น ความเย็น อากาศ ฝุ่น ควัน นาน 1-3 เดือน โดยที่สุขภาพทั่วไปเป็นปกติ กินได้ น้ำหนักไม่ลด ไม่มีไข้
- ถุงลมปอดโป่งพอง ผู้ป่วยมักอยู่ในวัยกลางคนขึ้นไป มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน เวลาทำอะไรจะรู้สึกเหนื่อยง่ายอยู่เรื่อยๆ
- อ่าน 50,691 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้