วัณโรคปอด
-
เมื่อมีอาการที่สงสัยจะเป็นวัณโรคปอด ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ ถ้าตรวจพบว่าเป็นโรคนี้จริงก็ควรปฏิบัติตัวดังนี้
- ควรไปพบแพทย์ตามนัด และกินยาให้ครบทุกวันตามที่แพทย์กำหนด
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ)
- งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด
- จัดบ้านและห้องนอนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและแสงแดดส่องถึง
- เวลาไอหรือจาม ควรใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปาก
- ควรบ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือกระป๋องที่มีฝาปิดสนิทมิดชิด แล้วนำเสมหะไปเผาไฟหรือฝังดิน
- ควรแยกออกห่างจากผู้อื่น เช่น แยกห้องนอน อย่าอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่น อย่าเข้าไปในห้างสรรพสินค้า รถโดยสารสาธารณะ สถานบันเทิง ที่ชุมนุมชน และควรแยกถ้วย ชาม สำรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหาก จนกว่าจะกินยารักษาวัณโรคทุกวันแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และหายไอแล้ว ระหว่างนี้หากจำเป็นต้องเข้าใกล้คนอื่นหรือเข้าไปในที่ชุมนุมชน ควรใช้หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก
- สำหรับแม่ที่เป็นวัณโรคปอด ควรแยกออกห่างจากลูก อย่ากอดจูบลูก และไม่ให้ลูกดูดนมตัวเอง จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อแล้ว
- ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก ควรอยู่แยกออกห่างจากคนเหล่านี้ จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อแล้ว
- ควรสังเกตอาการข้างเคียงจากยา เช่น ผื่นคัน คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ดีซ่าน (ตาเหลือง) ตามัว หูอื้อ มีไข้ขึ้น ฯลฯ หากสงสัยควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด
- ถ้ามีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคปอด ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูว่ามีการติดเชื้อวัณโรคหรือเป็นโรคนี้หรือยัง แพทย์จะได้หาทางรักษาหรือป้องกันโรคนี้
การป้องกัน
- ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) ซึ่งนิยมฉีดให้ทารกตั้งแต่แรกเกิด วัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิผลในการป้องกันวัณโรคชนิดรุนแรง ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค วัณโรคชนิดแพร่กระจาย ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กเล็ก แต่อาจป้องกันวัณโรคปอดไม่ได้เต็มที่ ผู้ที่เคยฉีดบีซีจีมาแล้วก็ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอด
- คนทั่วไปควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ ละเว้นจากการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์จัด และการใช้ยาเสพติด หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์
- เมื่อมีผู้ป่วยอยู่ในบ้านเดียวกัน ควรกำชับให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ (ดูหัวข้อ “การดูแลตนเอง ”) ช่วงที่ผู้ป่วยกินยารักษาวัณโรคไม่ถึง 2 สัปดาห์ หรือยังไม่หายไอ ควรหลีกเลี่ยงการนอนอยู่ห้องเดียวกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยและผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ แม้ว่ารู้สึกสบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบทูเบอร์คูลิน (สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ควรทำการทดสอบทุก 6 เดือน) ถ้าพบว่าให้ผลบวกซึ่งแสดงว่าเป็นผู้ติดเชื้อวัณโรค แพทย์จะพิจารณาให้กินไอเอ็นเอชป้องกัน ขนาด 300 มก./วัน (เด็ก 10 มก./กก./วัน) วันละครั้ง นาน 9–12 เดือน
ตัวอย่างผู้ที่ควรกินไอเอ็นเอชป้องกัน เช่น
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคระยะติดต่อ ผู้ที่พบรอยโรคในปอดจากภาพถ่ายรังสี ซึ่งมีผลการทดสอบทูเบอร์คูลินขนาด 5 มม. ควรกินยาป้องกันนานอย่างน้อย 12 เดือน
- เด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ ผู้ที่ฉีดยาเสพติดหรือติดแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยเบาหวาน ไตวายเรื้อรัง มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้ที่อยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น นักโทษในเรือนจำ ผู้สูงอายุในสถานพักฟื้น บุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล เป็นต้น) ซึ่งมีการทดสอบ ทูเบอร์คูลินขนาด 10 มม.
- บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งมีผลการทดสอบทูเบอร์คูลินขนาด 15 มม.
- อ่าน 49,380 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้