ตับอักเสบจากไวรัส
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัวต่างๆ หากไม่มีอาการอะไรมากมายก็จะไม่ให้ยา เนื่องเพราะโรคนี้ไม่มียารักษาจำเพาะ และนัดคนไข้มาตรวจดูอาการทุก 1-2 สัปดาห์ จนกว่าจะแน่ใจว่าหายดี
บางครั้งอาจให้ยาบรรเทาตามอาการ เช่น ยาแก้อาเจียน วิตามินบำรุง (หากเบื่ออาหารมาก) ฉีดกลูโคสหรือให้น้ำเกลือ (ถ้ากินได้น้อย หรืออาเจียนมาก) เป็นต้น ถ้าหากตรวจพบว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง (ซึ่งมักเกิดจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี) ซึ่งจะมีอาการอักเสบนานเกิน 6 เดือน แพทย์อาจต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น เจาะเนื้อตับออกมาพิสูจน์ ตรวจเลือดเพื่อดูสาเหตุความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนเป็นระยะการรักษาอาจฉีดสาร อินเตอร์เฟียรอน (interferon) สัปดาห์ละ 3 ครั้ง นาน 4-6 เดือน ยานี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัส และลดการอักเสบของตับ ข้อเสียราคาค่อนข้างแพง และอาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้พิจารณาสั่งใช้ ส่วนผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีหรือซี แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัว และนัดตรวจทุก 3-6 เดือน ไปเรื่อยๆ เพื่อเฝ้าดูอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
การวินิจฉัย
ถ้ามีอาการชัดเจนคือ มีอาการอ่อนเพลีย ดีซ่าน โดยมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน ไม่มีประวัติดื่มสุราจัด น้ำหนักลดเล็กน้อย (เพียง 1-2 กิโลกรัม) ยังกินอาหารได้ ดื่มน้ำได้ ไม่อาเจียน แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจร่างกายเพิ่มเติม ได้แก่ ตรวจพบตับโตเล็กน้อยลักษณะนุ่ม ไม่เจ็บมาก โดยไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นๆ รวมทั้งไม่พบอาการไข้ (ตัวร้อน) ก็อาจวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส และให้การดูแลรักษาขั้นต้นได้
แต่ถ้ามีอาการไม่ชัดเจน หรือเป็นเรื้อรัง หรือสงสัยเกิดจากสาเหตุอื่น แพทย์จะทำการตรวจเลือด ดูการทำหน้าที่ของตับ (liver function test) โดยตรวจสารเคมีในเลือด (เช่น AST, ALT, total protein, albumin, bilirubin) ตรวจหาชนิดของเชื้อไวรัส บางครั้งอาจต้องตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจหาเชื้ออื่นๆ เช่น ไทฟอยด์ มาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส พยาธิใบไม้ตับ เป็นต้น
- อ่าน 25,243 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้