ตับอักเสบจากไวรัส
หากมีอาการอ่อนเพลีย หรือสงสัยมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง (ดีซ่าน) หรือสงสัยว่าจะเป็นพาหะของเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบ ควรไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด ถ้าแพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส ควรติดต่อรักษากับแพทย์ตามนัด และปฏิบัติตัว ดังนี้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามตรากตรำทำงานหนัก
- ดื่มน้ำประมาณวันละ 10-15 แก้ว
- กินอาหารพวกโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ซุป ถั่วต่างๆ) ให้มากๆ ส่วนอาหารมันให้กินได้ตามปกติ ยกเว้นถ้ากินแล้วมีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้งด
- ถ้าเบื่ออาหาร หรือกินอาหารได้น้อย ให้ดื่มน้ำหวานหรือน้ำตาลกลูโคส แต่ถ้ากินอาหารได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำหวานให้มากขึ้น อาจทำให้น้ำหนักเกินได้
- แยกสำรับกับข้าว และเครื่องใช้ส่วนตัวออกจากผู้อื่น
- ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
- ห้ามดื่มสุรา จนกว่าแพทย์จะอนุญาต
ส่วนผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีหรือซีควรปฏิบัติตัว ดังนี้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบำรุงด้วยอาหารพวกโปรตีน
- ออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่อย่าหักโหมเกินไป
- อย่าอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ควรกินอาหารให้เพียงพอ และลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายให้น้ำหนักค่อยๆ ลดลงทีละน้อย
- งดบริจาคเลือด
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้ (ถ้าคู่สมรสยังไม่มีภูมิคุ้มกันควรฉีดวัคซีน หากมีภูมิคุ้มกันแล้วก็ไม่ต้องป้องกันด้วยถุงยางอนามัย)
- หมั่นไปพบแพทย์ตามนัด (อาจเป็นทุก 3-6 เดือน) เพื่อตรวจดูว่าเชื้อหายไปหรือยัง ทดสอบการทำหน้าที่ของตับว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นหรือยัง และตรวจหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (alpha-feto-protein) เพื่อค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่ม
- ควรให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เช่น คู่สมรส บุตรหลานตรวจเลือด ถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกันควรฉีดวัคซีนป้องกัน
การป้องกัน
สำหรับตับอักเสบชนิดเอ ควรกินอาหารสุกที่ไม่มีแมลงวันตอม, ดื่มน้ำสะอาด, ถ่ายลงส้วม, ล้างมือด้วยน้ำสบู่ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนเปิบข้าว และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ป้องกันตับอักเสบชนิดเอ แต่เนื่องจากราคาวัคซีนค่อนข้างแพง จึงแนะนำให้ฉีดแก่บุคคลในครอบครัวผู้ป่วย, ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย, ผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหาร, บุคลากรทางการแพทย์, ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเมื่อมีการระบาดของโรค (เช่น นักเรียน ทหาร เป็นต้น) โดยฉีด 2 เข็มห่างกัน 6 เดือน สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปีควรตรวจเลือดก่อน หากพบว่ามีภูมิคุ้มกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีดให้สิ้นเปลือง
สำหรับตับอักเสบชนิดบีควรปฏิบัติ ดังนี้
- ควรหลีกเลี่ยงการฉีดยา หรือให้น้ำเกลือโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องฉีดยา ควรเลือกใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่ผ่านกรรมวิธีทำให้ปราศจากเชื้อโรค
- ในการให้เลือด ควรหลีกเลี่ยงการใช้เลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี โดยการตรวจเช็กเลือดของผู้บริจาคทุกราย
- แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข ควรระมัดระวังในการสัมผัสถูกเลือดของผู้ป่วย เช่น สวมถุงมือขณะเย็บแผล ผ่าตัด หรือสวนปัสสาวะผู้ป่วย
- ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันตับอักเสบบี แต่เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง ยังไม่แนะนำให้ฉีดในคนทั่วไป จะเลือกฉีดให้แก่ทารกแรกเกิดและบุคคลที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคนี้สูง เช่น แพทย์ พยาบาล ผู้ป่วยโรคเลือดที่ต้องรับการถ่ายเลือดบ่อยๆ
สำหรับทารกแรกเกิดทุกคน สถานบริการของกระทรวงสาธารณสุข จะฉีดวัคซีนชนิดนี้โดยไม่คิดมูลค่าตั้งแต่วันแรกที่เกิดวัคซีนชนิดนี้จะฉีด ให้ 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 จะห่างจากครั้งแรก 1 และ 6 เดือนตามลำดับ (วิธีนี้ลดอัตราการเป็นพาหะลงได้มาก)
สำหรับผู้ใหญ่ก่อนฉีดวัคซีนชนิดนี้ควรตรวจเลือดเสียก่อน หากพบว่าเป็นพาหะหรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
- อ่าน 25,253 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้