โรคกระเพาะ
- ถ้าเป็นอาการครั้งแรก และมั่นใจว่าไม่ใช่สาเหตุอื่นที่ร้ายแรง แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัวตามหัวข้อ "การดูแลตนเอง" ส่วนยานอกจากยาต้านกรดแล้ว อาจให้ยาลดการสร้างกรดในกระเพาะ เช่น ไซเมทิดีน (cimetidine), รานิทิดีน (ranitidine) ควบคู่ไปด้วย นาน 6-8 สัปดาห์
- ถ้ามีอาการกำเริบเรื้อรัง หรือสงสัยว่าไม่ใช่โรคกระเพาะ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษ และให้การรักษาตามสาเหตุดังนี้
- ถ้าตรวจพบว่าเป็นแผลเพ็ปติกจากการใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ แพทย์จะแนะนำให้งดยาดังกล่าว และให้ยาลดการสร้างกรดในกระเพาะ เช่น ไซเมทิดีน, รานิทิดีน, โอเม-พราโซล (omeprazole) นาน 6-12 สัปดาห์
- ถ้าตรวจพบว่าเป็นแผลเพ็ปติกจากการติดเชื้อเอชไพโลไร แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ 2 ชนิด (ได้แก่ อะม็อกซิซิลลิน และ เมโทรไนดาโซล) กิน 7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อดังกล่าว และให้ยาลดการสร้างกรดในกระเพาะ (ได้แก่ โอเมพราโซล) กินนาน 4-8 สัปดาห์ วิธีนี้จะช่วยกำจัดเชื้อ ทำให้แผลหาย และไม่เกิดอาการกำเริบเรื้อรังอีก นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจากเชื้อดังกล่าวอีกด้วย
- ถ้าตรวจพบว่ามีสาเหตุจากโรคกระเพาะชนิดไม่มีแผล ก็จะให้การรักษาแบบข้อที่ 1 โรคกลุ่มนี้มักจะเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุกระตุ้นให้กำเริบ ดังนั้นแพทย์จะเน้นการปฏิบัติตัว ได้แก่ การหลีกเลี่ยงอาหารและสิ่งที่เป็นเหตุกำเริบ การออกกำลังกาย การผ่อนคลาย ความเครียด
- ถ้าตรวจพบว่ามีสาเหตุอื่นๆ ก็จะให้การ รักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ นิ่วใน ถุงน้ำดี ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด โรคหลอดเลือด หัวใจตีบ จะให้ยารักษา หากเป็นมากอาจต้องผ่าตัด เป็นต้น
การวินิจฉัย
มักจะวินิจฉัยจากอาการหิวแสบ-อิ่มจุก ถ้ากินยาโรคกระเพาะแล้วไม่ดีขึ้น หรือสงสัยเป็นโรคอื่น แพทย์จะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และอาจทำการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคลื่นหัวใจ
ถ้าหากสงสัยเป็นแผลเพ็ปติก แพทย์จะทำการเอกซเรย์ โดยให้ผู้ป่วยกลืนแป้งแบเรียม หรือใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ (endoscope) ถ้าพบว่าเป็นแผลจริง แพทย์จะนำเนื้อเยื่อกระเพาะ ไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นการติดเชื้อเอชไพโลไรหรือไม่ ถ้าติดเชื้อนี้จริง จะได้ให้ยาปฏิชีวนะกำจัดให้โรคหายขาดได้
- อ่าน 24,115 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้