Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » Fowler's syndrome
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

Fowler's syndrome

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2550 00:00

Fowler's syndrome หรือ Isolated urinar retention in young women ได้มีการกล่าวถึงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของผู้ที่รายงานภาวะนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งผู้ป่วยหญิงกลุ่มนี้จะมีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออก ต้องสวนปัสสาวะ แต่ตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆที่จะอธิบายอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออกนี้ได้ ซึ่งพบว่าร้อยละ 50 จะมี polycystic ovary ร่วมด้วย เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีผู้รู้จักโรคนี้มากนักทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งได้รับการรักษาไม่ตรงตามพยาธิสภาพ เช่นได้รับการขยายท่อปัสสาวะเพราะเนื่องจากเข้าใจว่าท่อปัสสาวะตีบ หรือคาสายสวนปัสสาวะไว้ เป็นต้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจจึงได้สรุปประเด็นที่สำคัญของ Fowler's syndrome มาไว้ ณ ที่นี้


การทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
ก่อนอื่นคงจะต้องท้าวความถึงความรู้พื้นฐานในการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะในการเก็บกักปัสสาวะและขับถ่ายปัสสาวะ ซึ่งเป็นการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างเป็นหลัก อันประกอบด้วยกระเพาะปัสสาวะ กลไกการทำงานของหูรูด และระบบประสาทควบคุม ซึ่งกระเพาะปัสสาวะมีลักษณะเป็นถุงกล้ามเนื้อมีความสามารถในการยืดและหดตัวได้ โดยทั่วไปมีความจุประมาณ 300-400 มล. เมื่อมีน้ำปัสสาวะประมาณ 150 มล.ก็จะเริ่มรู้ว่ามีปัสสาวะแต่ไม่ใช่อาการปวด เพียงแค่หน่วงๆหนักๆเท่านั้น และในขณะนี้หูรูดจะปิดสนิท ไม่ปล่อยให้ปัสสาวะเล็ดราดออกมา หูรูดที่ว่านี้ในผู้หญิงจะหมายถึงกล้ามเนื้อตั้งแต่ bladder neck ลงมาถึงท่อปัสสาวะส่วนปลาย ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติ แต่ท่อปัสสาวะยังมีกล้ามเนื้อลายของบริเวณเชิงกรานหุ้มอยู่อีก ซึ่งทำงานภายใต้ระบบประสาทควบคุม หากเราต้องการกลั้นปัสสาวะก็จะสั่งให้กล้ามเนื้อลายนี้ทำงานบีบท่อปัสสาวะให้แรงขึ้น

เมื่อมีน้ำปัสสาวะเต็มก็จะส่งกระแสประสาทออก มาจากการตึงตัวที่ผนังของกระเพาะปัสสาวะผ่านไขสันหลังบริเวณ S2-4 ขึ้นไปยังสมอง หลังจากแปลความแล้วว่าสมควรถ่ายปัสสาวะได้ เช่นอยู่ในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว กระแสประสาทก็จะสั่งการลงมาทำให้หูรูดคลายตัวและติดตามด้วยการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะก็จะไหลออกมาจนหมด แต่หากยังไม่อยู่ในสภาวะที่จะถ่ายปัสสาวะได้เช่นห้องน้ำไม่ว่างหรืออยู่ระหว่างการเดินทาง จะเกิดการสั่งการลงมาให้หูรูดปิดแน่นยิ่งขึ้นโดยการบีบตัวของกล้ามเนื้อลายที่รายรอบท่อปัสสาวะอยู่ดังที่กล่าวมาแล้ว. ส่วนในกรณีผู้ป่วยที่สมองไม่ปกติ เช่นอุบัติเหตุ หรือมีโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งมีการรับรู้ไม่ปกติ แต่ผู้ป่วยยังสามารถถ่ายปัสสาวะได้เป็นเวลา เพราะ pons หรือก้านสมองยังทำหน้าที่อยู่ ทำให้เกิดการทำงานที่สอดคล้องกันระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับหูรูด เมื่อใดที่ pons ไม่สามารถควบคุมการทำงานของเส้นประสาทระดับ S2-4 ได้ เช่นกรณีอุบัติเหตุที่สันหลังที่อยู่ระหว่างก้านสมองกับไขสันหลังระดับ S2-4 ก็จะทำให้เกิดการทำงานที่ไม่ประสานกันที่เรียกว่า detrusor-sphincter dyssynergia ระบบประสาทควบคุมการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างนี้จะผ่านทางระบบประสาทอัตโนมัติเป็นหลัก ซึ่งจะทำงานประสานสอดคล้องกันอย่างสมดุล โดยประสาท sympathetic ควบคุมการทำงานของ bladder neck และท่อปัสสาวะเมื่อมีการกระตุ้นจะเกิดการบีบตัว ทำให้ปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ ส่วน parasympathetic จะควบคุมกระเพาะปัสสาวะเมื่อมีการกระตุ้นจะเกิดการบีบตัวของกระเพาะปัสสสาวะ


พยาธิสรีรวิทยา
ถึงแม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุที่แท้จริงของ Fowler's syndrome เกิดจากเหตุใดแต่เราสามารถพบความผิดปกติบางประการได้ ดังจะได้สรุปดังต่อไปนี้

1. การทำหน้าที่มากกว่าปกติของหูรูด ทั้งนี้สามารถตรวจสอบได้ว่ากล้ามเนื้อหูรูดมีการทำงานมากขณะที่ถ่ายปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไม่สามารถระบายออกมาได้หมด ซึ่งเมื่อเราตรวจสอบสัญญาณของคลื่นไฟฟ้าจาก electromyography (EMG) ในระหว่างการตรวจทางพลศาสตร์ระบบปัสสาวะ (urodynamics) ก็สามารถยืนยันความผิดปกตินั้นได้ นอกจากนั้นหากมีอาการมาเป็นระยะเวลานานจะพบว่าบริเวณท่อปัสสาวะจะหนาตัวขึ้นจาก hypertrophy ของหูรูด รวมทั้งการตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด ก็สามารถตรวจสอบถึงความผิดปกตินี้เช่นเดียวกัน

2. ความบกพร่องของฮอร์โมน ทั้งนี้เนื่องจากเราพบว่าประมาณร้อยละ 50 จะเกิดร่วมกับ polycystic ovary เชื่อว่าจะมีภาวะ relative progesterone deficiency และเนื่องจาก progesterone ทำหน้าที่สร้างความเสถียรบริเวณผนังของเซลล์ เมื่อขาดฮอร์โมนดังกล่าวทำให้เกิดการกระตุ้นบริเวณผนังของเซลล์มากว่าปกติ ทำให้เกิดการทำงานของหูรูดมากกว่าปกติดังที่กล่าวมาในตอนต้น

3. ความบกพร่องของระบบประสาทอัตโนมัติ (dysautonomia) ทั้งนี้เนื่องจากการทำงานของระบบ ทางเดินปัสสาวะส่วนล่างอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ ทั้ง sympathetic และ parasympathetic โดยระบบประสาท sympathetic จะ มาหล่อเลี้ยงบริเวณ bladder neck และท่อปัสสาวะ เมื่อมีการกระตุ้นจะทำให้เกิดการบีบตัวทำให้มีการเก็บกักปัสสาวะไว้ ส่วนระบบประสาท parasympathetic จะมาหล่อเลี้ยงบริเวณกระเพาะปัสสาวะเป็นหลัก หากมีการกระตุ้นจะทำให้เกิดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ในสภาวะปกติระบบประสาทอัตโนมัติทั้งสองจะทำงานประสานสอดคล้องกัน ทำให้เมื่อมีการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะก็จะมีการคลายตัวของหูรูด หากมีความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติไม่ว่ากระตุ้นด้าน sympathetic มาก หรือลดการกระตุ้นทางด้าน parasympathetic ก็ส่งผล ให้ปัสสาวะไม่ออก หรือออกไม่หมดได้ อย่างไรก็ดี ความผิดปกติของระะบบประสาทอัตโนมัตินี้เป็นเพียงเฉพาะที่เท่านั้น เนื่องจากเราไม่พบการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ระบบอื่นๆ ของร่างกาย


อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นผู้ป่วยหญิงที่มีอายุไม่มากนัก ส่วนมากจะมีอายุระหว่าง 20-35 ปี แต่ก็สามารถ พบได้ในอายุที่สูงกว่านี้เช่นกัน แต่จะไม่เกินวัยหมดประจำเดือน. ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออก มีอาการปวดอยากถ่ายปัสสาวะ อาจจะมีอาการปวดหลัง ปวดต้นขาร่วมด้วย และมักจะต้องรีบมาห้องฉุกเฉินเพื่อสวนปัสสาวะ ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอาจจะมีสาเหตุชักนำก่อนการถ่ายปัสสาวะไม่ออก เช่นการผ่าตัด การคลอด ทั้งๆที่การผ่าตัดนั้นๆไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริเวณท่อปัสสาวะหรือกระเพาะปัสสาวะเลย. ผู้ป่วยอาจจะมีประวัติปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะออกทีละน้อยๆ นำมาก่อนบางรายอาจจะมีประวัติคล้ายกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือปัสสาวะครั้งละน้อยๆ ปัสสาวะบ่อยๆ และอาจจะได้รับการตรวจวินิจฉัยว่ากระเพาะปัสสาวะอักเสบ แต่อาการไม่ดีขึ้นหลังจากได้ยาปฏิชีวนะ ในขั้นตอนการซักประวัติจะต้องพยายามซักให้ได้รายละเอียดเพื่อแยกโรคอื่นออกไปก่อน เช่นประวัติการเจ็บป่วย การกินยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่มีฤทธิ์กระตุ้น a receptor เช่น pseudoephedrine เป็นต้น ที่มักพบว่าหลังกินจะมีอาการปัสสาวะยาก. ยาที่มีฤทธิ์ anti cholinergic เช่นยารักษาอาการซึมเศร้า เป็นต้น แม้แต่ยารักษากลุ่มอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (overactive bladder) ก็อาจจะถ่ายปัสสาวะไม่ออก ได้เช่นกัน

การตรวจร่างกายจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งการตรวจร่างกายทั่วไปและตรวจทางระบบประสาท แต่เราก็ต้องตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อแยกโรคอื่นๆออกไป. เริ่มตั้งแต่การตรวจร่างกายโดยทั่วไป ตรวจดูด้านหลังว่ามีร่องรอยกระดูกสันหลังผิดรูป การผ่าตัด หรือมี meningocele การตรวจทางระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่หล่อเลี้ยงด้วย S2-4 ทั้งในส่วนที่รับความรู้สึก และ motor รวมถึง reflex การตรวจสอบ anal sphincter ก็มีความสำคัญเช่นกัน

การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญได้แก่การตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจสอบว่ามีการอักเสบ หรือมีเม็ดเลือดแดงปนหรือไม่ เพราะหากมีจะต้องทำการสืบค้นต่อไป การสืบค้นทางรังสี ทำเพื่อแยกโรคอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนิ่วในบริเวณท่อไตส่วนล่างหรือนิ่วที่หล่นลงมาอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ การทำอัลตราซาวนด์เพื่อตรวจสอบว่ามีก้อนเนื้อที่มดลูก หรือมีถุงน้ำที่ท่อไตส่วนล่าง (ureterocele) หรือไม่ เพราะอาจจะกดบริเวณท่อปัสสาวะจนถ่ายปัสสาวะไม่ออกได้

การตรวจทางพลศาสตร์ระบบปัสสาวะ จะช่วยยืนยันถึงพยาธิสภาพได้ เนื่องจากสามารถตรวจสอบว่ามีการทำงานของหูรูดที่มากกว่าปกติ โดยการวัดแรงดันในท่อปัสสาวะ (urethral pressure profile) หรือวัด EMG บริเวณหูรูด นอกจากนั้นความจุของกระเพาะปัสสาวะจะปกติ


การรักษา
ในขั้นตอนแรกจะต้องสวนปัสสาวะเพื่อให้ผู้ป่วยสบายขึ้นก่อน หากสวนปัสสาวะได้มากกว่า 1 ลิตร สมควรคาสายปัสสาวะไว้เพราะหากสวนทิ้งเพียงอย่าง เดียวจะมีโอกาสต้องสวนปัสสาวะอีก เพราะกระเพาะปัสสาวะยืดตัวมากเกินไป หลังจากนั้นจะแนะนำให้ ผู้ป่วยเรียนรู้การสวนปัสสาวะด้วยตนเองแบบสะอาด โดยใช้สายสวนที่ออกแบบมาโดยเฉพาะดังภาพที่ 1 โดยทั่วไปให้สวนปัสสาวะวันละ 4 ครั้ง ถึงแม้ว่าจะถ่ายปัสสาวะได้บ้างก็ตาม ตราบใดที่ยังสวนปัสสาวะได้มากกว่า 50 มล. ก็ยังคงต้องสวนปัสสาวะต่อไป

การให้ยากลุ่ม alfa blocker โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับบริเวณ bladder neck และท่อปัสสาวะเช่น alfuzosin หรือ tamsulosin ก็อาจจะช่วยได้เพราะจะช่วยลดการบีบตัวบริเวณท่อปัสสาวะได้ เราอาจจะให้ยาคลายกล้ามเนื้อร่วมด้วยก็ได้


                                       

                                
                                                           ภาพที่ 1
สายสวนปัสสาวะ

                                                    
                     ภาพที่ 2
การปรับสมดุลเข้าสู่ foramen ของกระดูกสันหลังช่วง Sacrum 

                                         
                  ภาพที่ 3
อุปกรณ์เพื่อปรับสมดุลเข้าสู่ foramen ของกระดูกสันหลังช่วง Sacrum


การฉีดพิษ botulinum เข้าสู่บริเวณหูรูดก็จะช่วยให้ลดแรงดันในท่อปัสสาวะได้ และจะมีฤทธิ์อยู่เพียงชั่วคราว เมื่อยาหมดฤทธิ์ผู้ป่วยอาจจะหายจากอาการแล้วก็ได้

การรักษาที่ถือได้ว่ามีประสิทธิภาพดี ได้แก่การปรับสมดุลระบบประสาท (neuromodulation)โดยการสอดอุปกรณ์เพื่อปรับสมดุลเข้าสู่ foramen ของ S3 ดังภาพที่ 2 และ 3 พบว่าผลการรักษาดี สามารถทำให้ผู้ป่วยกลับมาถ่ายปัสสาวะได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ดีการรักษาผู้ป่วยด้วยการสวนปัสสาวะเป็นเวลาแบบสะอาดร่วมกับการให้ยาก็ยังทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาถ่ายปัสสาวะได้เองมากกว่าร้อยละ 50

เอกสารอ้างอิง
1. Fowler CJ, Kirby RS. Abnormal electromyographic activity (decelerating burst and complex repetitive discharges) in the striated muscle of the urethral sphincter in 5 women with persisting urinary retention. Br J Urol 1985;57:67-70.
2. Fowler CJ, Kirby RS. Electromyography of urethral sphincter in women with urinary retention. Lancet 1986;1:1455-7.
3. Fowler CJ, Christmas TJ, Chapple CR, Parkhouse HF, Kirby RS, Jacobs HS. Abnormal electromyographic activity of the urethral sphincter, voiding dysfunction, and polycystic ovaries : a new syndrome?BMJ 1988;297: 1436-8.
4. Swinn MJ, Fowler CJ. Isolated urinary retention in young women, or Fowleržs syndrome. Clin Auton Res 2001;11:309-11.
5. Amarenco G, Raibaut P, Ismael SS, Rene-Corail P, Haab F. Evidence of occult dysautonomia in Fowleržs syndrome : alteration of cardiovascular autonomic function tests in female patients presenting with urinary retention. BJU Int 2006;97:288-91.
6. Pummangura N, Kochakarn W. Efficacy of tamsulosin in the treatment of lower urinary tract symptoms (LUTS) in women. Asian J Surg 2007;30:131-7.
7. Patel AK, Chapple CR. Botulinum toxin injection therapy in the management of lower urinary tract dysfunction. Int J Clin Pract Suppl 2006;(151):1-7.
8. Dasgupta R, Wiseman OJ, Kitchen N, Fowler CJ. Long-term results of sacral neuromodulation for women with urinary retention. BJU Int 2004;94:335-7.

วชิร คชการ พ.บ., ว.ว. (ศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา) , F.R.C.S. (T), F.A.C.S,
ศาสตราจารย์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล

ป้ายคำ:
  • โรคตามระบบ
  • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
  • เวชปฏิบัติปริทัศน์
  • ระบบทางเดินปัสสาวะ
  • นพ.วชิร คชการ
  • อ่าน 10,456 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

275-002
วารสารคลินิก 275
พฤศจิกายน 2550
เวชปฏิบัติปริทัศน์
นพ.วชิร คชการ
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <