กรณีศึกษา
ชายอายุ 67 ปี มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงและไขมันโลหิตสูง สภาพทั่วไป แข็งแรงดีมาตลอด เป็นคนรักษาสุขภาพ ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ 2 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล คลื่นไส้แต่ไม่อาเจียน รู้สึกว่าปวดมากจนนอนไม่หลับ จึงมาตรวจที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลจังหวัดช่วงกลางคืน ผู้ป่วยเคยมีประวัติปวดศีรษะเป็นๆหายๆ แต่ไม่เคยปวดมากเท่าครั้งนี้ ปกติเป็นคนเครียดง่าย ขี้กังวล ภรรยาอายุ 68 ปีกำลังป่วยด้วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่อาการทรุดลงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับมาตลอดเดือนเพราะต้องเฝ้าดูแลภรรยา
ผลตรวจร่างกายทางระบบประสาทไม่พบความผิดปกติ ความดันโลหิต 170/100 มม.ปรอท สูงกว่าเดิมที่เคยควบคุมได้ซึ่งอยู่ประมาณ 150/80 มม.ปรอท. แพทย์ที่ห้องฉุกเฉินให้การวินิจฉัยว่าเป็น Tension-typed headache บอกผู้ป่วยว่าเป็นอาการปวดศีรษะจากความเครียดธรรมดา ไม่เป็นอะไรร้ายแรง อาการปวดศีรษะนี้ทำให้ความดันโลหิตสูงตามไปด้วย แต่ไม่น่ากังวลอะไร ผู้ป่วยและลูกชายวิงวอนขอนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ เพราะปกติผู้ป่วยเป็นคนเข้มแข็ง อดทน ไม่บ่นอะไรง่ายๆ แพทย์ปฏิเสธเนื่องจากอาการไม่หนักและอ้างว่าเตียงโรงพยาบาลเต็ม ก่อนจะสั่งยาให้กลับไปกินที่บ้าน พร้อมแนะนำว่ายาที่กินก่อนนอนอาจทำให้มีอาการง่วงได้ เมื่อกลับถึงบ้านผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะมากขึ้น ลูกชายจึงจัดยาให้กินตามแพทย์สั่ง ก่อนให้ผู้ป่วยเข้านอน
ขอเชิญชวนผู้สนใจที่มีกรณีผู้ป่วยที่ต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นกฎหมาย การแพทย์ส่งรายละเอียดกรณีศึกษามาได้ที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสายพิณ หัตถีรัตน์ ตาม E-mail : [email protected]< หรือ กองบรรณาธิการคลินิก เลขที่ 36/6 ซอยประดิพัทธ์ 10 ถนนประดิพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
เช้าวันต่อมา ผู้ป่วยตื่นสายกว่าปกติ ลูกจึงไปปลุก พบว่าผู้ป่วยนอนซึม ดูง่วงๆ คิดว่าเกิดจากยาที่แพทย์จัดให้ จึงปล่อยให้ผู้ป่วยนอนต่ออีก 2 ชั่วโมง เมื่อมาปลุกผู้ป่วยอีกครั้งจึงพบว่าผู้ป่วยซึมลงมาก ปลุกไม่ตื่น รีบนำส่งโรงพยาบาล เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ผู้ป่วยต้องถูกใส่ท่อช่วยหายใจและเอกซเรย์สมอง พบเลือดออกในสมองจำนวนมาก สมองบวมจนกดก้านสมอง ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดสมองฉุกเฉินและรักษาตัวในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก
หลังการผ่าตัดสมอง ผู้ป่วยไม่ฟื้นคืนสติอีกเลย ญาติๆพยายามขอคุยกับศัลยแพทย์ผู้รักษา แต่ไม่เคยได้พบ ญาติมาเฝ้าตลอดจึงพบว่าศัลยแพทย์ไม่มาเยี่ยมไข้หลังผ่าตัด แต่โทรศัพท์มาสั่งการรักษาแทน แพทย์เวรในไอซียูก็ไม่สามารถตอบอะไรได้นอกจากบอกว่าหลังดมยาแล้วไม่ฟื้น คงต้องรอแต่ปาฏิหาริย์ ซ้ำยังเดินหนีไปดื้อๆ ญาติบางคนโกรธและต่อว่าพยาบาลที่ไอซียูว่า โรงพยาบาลชุ่ย รักษาผิดพลาดจนคนไข้ไม่ฟื้น ขู่จะไปฟ้องสื่อให้ลงข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหากผู้ป่วยเป็นอะไรไป
ผู้ป่วยรักษาอยู่ในไอซียูนาน 2 สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต ลูกชายและญาติของผู้ป่วยไม่พอใจเป็นอย่างมาก ปฏิเสธการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดและต้องการให้ทางโรงพยาบาลชดใช้ค่าเสียหายให้ เพราะ ทีมแพทย์ให้การรักษาผิดพลาด ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาล่าช้าและไม่ใส่ใจดูแล จนเป็นเหตุให้ผู้ป่วย เสียชีวิต พร้อมส่งทนายมาขอประวัติการรักษาทั้งหมดของผู้ป่วย
ประเด็นศึกษา
1. ในกรณีเช่นนี้ แพทย์แต่ละคนอาจมีข้อผิดพลาดอย่างไรบ้าง
♦ แพทย์ที่ห้องฉุกเฉิน
ในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการไม่จำเพาะเจาะจง การตัดสินใจที่ห้องฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องยาก เพราะต้องพิจารณาทั้งความฉุกเฉินของโรคในขณะนั้นและคำนึงถึงความจำกัดของทรัพยากรโรงพยาบาลไปด้วย โดยแพทย์มีหน้าที่ต้องรักษาโรคให้ผู้ป่วยรายนั้น และต้องสำรองเตียงไว้สำหรับผู้ป่วยรายที่หนักกว่าที่อาจมาตรวจในคืนเดียวกัน การที่ต้องตัดสินใจว่าผู้ป่วยรายที่อยู่ตรงหน้าเป็นรายที่หนักเพียงพอจะให้เตียงนอน ในโรงพยาบาลได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ทั้งหมดของแพทย์
อีกทั้งในกรณีนี้อาจมีปัจจัยหลายประการ ที่บดบังการตัดสินใจของแพทย์ เช่น
♦ อาการปวดศีรษะ เป็นอาการพบบ่อย ที่ไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะเป็นโรคร้ายแรง การวินิจฉัยโรคในระยะแรกจึงยากมาก
♦ ประวัติทางจิตสังคม โน้มเอียงไปทาง ที่ทำให้เข้าใจได้ว่า ผู้ป่วยน่าจะเจ็บป่วยจากการอดนอน เพราะต้องเฝ้าไข้ภรรยาที่เจ็บป่วยด้วยโรคระยะสุดท้าย ทำให้ชี้นำการวินิจฉัยโรคไปทางอาการปวดศีรษะจากความเครียดมากกว่าอาการปวดศีรษะจากเส้นเลือดในสมอง
♦ ความสูงอายุ อาจชี้นำผิดๆไปว่า คนแก่ส่วนใหญ่นอนหลับยาก เครียดง่าย ปวดศีรษะง่าย บวกกับการที่คู่ชีวิตสูงวัยกำลังจะตายจากไปทำให้เศร้าโศกล่วงหน้าได้
♦ การที่ผู้ป่วยและญาติเรียกร้องขอนอนโรงพยาบาล อาจทำให้แพทย์หลายคนรู้สึกหงุดหงิด รำคาญ เกินจำเป็น จนรีบบอกปัดไปว่าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมากหรือเตียงเต็ม
จากปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้แพทย์ประมาท ที่จะตัดสินใจโดยละเอียดว่าผู้ป่วยรายนี้มีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าความเครียด เพราะประวัติค่อนข้างชัดว่าปวดรุนแรงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน และผู้ป่วยเป็นคนที่อดทนต่อความปวดมาตลอด
การรีบด่วนตัดสินใจอาจทำให้แพทย์ลืมแนะนำให้ถี่ถ้วนว่า หากมีอาการผิดปกติอย่างไรควรจะกลับมาใหม่ หรือหากพิจารณาว่าผู้ป่วยกลับบ้านลำบาก หรือหากเอะใจว่าอาจไม่ใช่ปวดศีรษะธรรมดา ควรพิจารณาให้นอนเพื่อเฝ้าสังเกตอาการที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องฉุกเฉินหรือห้องสังเกตอาการ
♦ ศัลยแพทย์
การที่ศัลยแพทย์ตัดสินใจผ่าตัดสมองในขณะนั้น แสดงว่าสมองน่าจะบวมมากและอาการน่าจะเข้าขั้นตรีทูต คือผู้ป่วยน่าจะตายในเวลาอันสั้นหากไม่ผ่าตัดช่วยชีวิต พยากรณ์โรคก่อนผ่าตัดจึงน่าจะไม่ดีอยู่แล้ว แต่การผ่าตัดฉุกเฉินดังกล่าวเกิดขึ้นโดยแพทย์อาจจะไม่ได้แนะนำหรือพูดคุยกับญาติโดยละเอียดว่า หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจจะฟื้นหรือไม่ฟื้นก็ได้ เพราะอาการหนักมาก เป็นตายเท่ากัน
หลังการผ่าตัดคนไข้วิกฤต แม้จะรู้ว่าการพยากรณ์โรคไม่ดี ไม่น่าจะฟื้นได้ ศัลยแพทย์ก็ควรแสดงน้ำใจไปเยี่ยมเยียนทั้งผู้ป่วยและญาติ พูดคุยปลอบโยน ให้ซักถามจนกระจ่างแจ้ง. การอ้างว่างานยุ่งจนไม่ไปเยี่ยมไข้ทั้งที่ผ่านนาทีวิกฤตมา อาจทำให้ญาติสงสัยว่าศัลยแพทย์และทีมผ่าตัดทำอะไรผิดพลาด แล้วต้องการปกปิด จึงไม่กล้าสู้หน้า ไม่ยอมพูดคุยด้วย ยิ่งหนีหน้าก็ยิ่งสงสัย หากญาติมีท่าทีแข็งกร้าว ศัลยแพทย์ก็ยิ่งไม่กล้ามาพบ บ่งบอกว่าทักษะการสื่อสารของศัลยแพทย์ต่อญาติในช่วงวิกฤตยังไม่ดีนัก
♦ วิสัญญีแพทย์
หากการที่ผู้ป่วยไม่ฟื้นเกิดจากภาวะแทรกซ้อนจากการดมยา ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ตามธรรมชาติของการรักษา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยเจตนา (Medical malpractice) หรือโดยประมาทเลินเล่อ (Negligence) แต่เป็นความผิดพลาดทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นได้ (Medical error) ทีมแพทย์ที่ผ่าตัดต้องรีบแจ้งให้ญาติรู้โดยเร็วที่สุด ดีกว่าทำลืมๆ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นจริยธรรมการแพทย์ (Medical ethics) ที่ต้องแจ้งสิ่งที่เกิดขึ้นให้ผู้ป่วยหรือญาติรับทราบ การไม่ชี้แจงหลังผ่าตัดแล้วปล่อยให้ญาติอยู่กับความหวังไปเรื่อยๆ ยิ่งนานวันก็จะยิ่งสงสัยและผิดหวังรุนแรงขึ้น ซึ่งกระทบกระเทือนต่อศรัทธาที่มีต่อทีมผู้รักษาได้มาก
นอกจากนี้ทีมผู้รักษาต้องมาแสดงความเสียใจต่อญาติอย่างจริงใจแต่แรก รวมทั้งเสนอตัวเข้าช่วยเหลือเยียวยา หากญาติได้รับความทุกข์ร้อนจากความพิการหรือความตายที่เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากความผิดพลาดทางการแพทย์ ก่อนที่เขาจะร้องขอ ควรไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของญาติ และเอื้อเฟื้อที่จะแสดงน้ำใจช่วยเหลือ ระวังท่าทีที่จะแสดงว่าเป็นการปิดปากญาติแทนการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือดูแลกัน ความผิดพลาดทางการแพทย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และไม่ใช่ความผิดของแพทย์ที่กระทำโดยเจตนาหรือประมาทเลินเล่อ
♦ แพทย์เวรที่หออภิบาลผู้ป่วยหนัก
การปฏิบัติงานอยู่ในหอผู้ป่วยหนัก แพทย์ จะอ้างว่าไม่รู้ข้อมูลการรักษาของคนไข้เตียงต่างๆคงไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เจ้าของไข้โดยตรง แต่ก็ต้องรู้ข้อมูล มากพอที่จะดูแลผู้ป่วยทุกเตียงที่อยู่ในภาวะวิกฤตได้ และเมื่อพบว่าญาติมีท่าทีสงสัยต่ออาการเจ็บป่วยหรือผลของการรักษา ควรรีบเข้าไปรับฟังให้เข้าใจก่อนว่าเขาสงสัยเรื่องใดกันแน่ และบอกความจริงเท่าที่บอกได้ หากไม่มั่นใจ ควรรีบประสานให้ศัลยแพทย์เจ้าของไข้มาเป็นคนชี้แจงเองโดยเร็วที่สุด
หากศัลยแพทย์ไม่สามารถรีบมาพูดคุย กับญาติได้ ทีมแพทย์พยาบาลในหออภิบาลผู้ป่วยหนักควรรับหน้าเสื่อ ปลอบโยน รับฟังความสูญเสีย ความตกใจของญาติๆแทน และรีบดำเนินการประสานให้ศัลยแพทย์มาพบเร็วที่สุด อย่าทำเหมือนถ่วงเวลา ไม่จริงใจต่อญาติ เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น
หากประสานไม่สำเร็จ ควรรีบแจ้งประธานองค์กรแพทย์ของโรงพยาบาล เพราะกรณีเช่นนี้บ่งบอกความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดจากญาติและอาจนำไปสู่การฟ้องร้องที่จะทำให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างผู้รักษาและผู้รับการรักษาได้
อย่างไรก็ตาม อย่ากลัวต่อคำขู่ที่ญาติจะไปฟ้องหนังสือพิมพ์ แต่ก็ต้องไม่เพิกเฉยหรือท้าทายให้ไปฟ้อง ควรเผชิญหน้าคำขู่ด้วยสติและความเมตตา เพราะเขากลัว เขาทุกข์ เขาจึงขู่เรา การพูดคุยและรับฟังในฐานะเพื่อนมนุษย์จะทำให้ความกลัวนั้นทุเลาลง เขาอาจเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิตมาก่อน ที่ทำ ให้รู้สึกว่าถูกแพทย์ทอดทิ้ง จึงไม่ไว้ใจ เสื่อมศรัทธากับเหตุการณ์ในอดีต แต่เราสามารถสร้างศรัทธากับเหตุการณ์ในปัจจุบันได้
การให้คำตอบที่ไม่ชัดเจน กำกวม หรือพาให้เข้าใจผิด เช่น "หลังดมยาแล้วไม่ฟื้น" อาจแปลความหมายได้ว่า การผ่าตัดประสบผลสำเร็จดี แต่บังเอิญผิดพลาดจากขั้นตอนดมยาจึงไม่ฟื้น การบอกดังกล่าวทำให้ญาติยอมรับได้ยากกว่าการทราบว่าผ่าตัดแล้วไม่สามารถช่วยชีวิตได้ หรือผ่าตัดแล้ว ยังต้องเฝ้ารอดูผลการผ่าตัดอีกที
การบอกข่าวร้ายและข้อเท็จจริงทางการแพทย์จึงเป็นศาสตร์และศิลปะในการพูดความจริงให้ไม่ทำร้ายจิตใจญาติจนเกินไป ในขณะที่ต้องชัดเจน จริงใจ ไม่โกหกบิดเบือน และไม่กำกวมจนทำให้เข้าใจว่าประมาทเลินเล่อ
2. ข้อผิดพลาดเหล่านี้ (Medical error) จัดเป็นทุรเวชปฏิบัติ (Medical malpractice) หรือไม่ จะเอาผิดกับแพทย์ได้หรือไม่
สิ่งผิดพลาดเป็นของคู่กันกับการรักษาพยาบาล แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ได้ตั้งใจหรือเจตนาจะทำให้เกิดเหตุร้ายแก่ผู้ป่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดได้ตามธรรมชาติของการรักษาพยาบาล สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ความผิดพลาดทางการแพทย์ (Medical error) แต่ไม่ใช่ว่าแพทย์ตั้งใจทำพลาด สิ่งเหล่านี้ได้แก่ การแพ้ยา การดมยาแล้วผู้ป่วยไม่ฟื้นทั้งที่กระทำโดยถูกต้อง
ทุรเวชปฏิบัติ (Medical malpractice) ส่วนมากหมายถึง กรณีที่แพทย์จะต้องรับผิดทางแพ่งจากการกระทำละเมิด ซึ่งเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในเวชปฏิบัติ เช่น การหลงลืมวัตถุแปลก ปลอม ซึ่งได้แก่เครื่องมือแพทย์ ผ้าซับเลือด และอื่นๆ ไว้ในช่องท้องหลังผ่าตัดเปิดช่องท้อง การให้ยาผิด การรักษาผิดคน เป็นต้น
สำหรับคำว่าละเมิด (Tort liability) ตามกฎหมายไทย นอกจากหมายถึง การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นโดยประมาทเลินเล่อแล้ว ยังรวมถึงการกระทำโดยจงใจที่ผิดกฎหมายด้วย เช่นการผ่าตัดที่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย การรักษาที่ฝ่าฝืนข้อบ่งชี้โดยตั้งใจและอื่นๆ
ในผู้ป่วยรายนี้ การวินิจฉัยโรคผิดในระยะแรก ที่ห้องฉุกเฉินจะเป็นความประมาทเลินเล่อหรือไม่ ก็ไม่อาจบอกได้ชัดเจน ตามที่วิเคราะห์ไว้ในข้อ 1 ส่วนการผ่าตัดฉุกเฉิน ก็เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่แพทย์ต้องทำเพื่อช่วยชีวิต ไม่น่าจะต้องรับผิด แต่ควรทำ ความเข้าใจกับญาติผู้ตายอย่างเหมาะสม.
3. เมื่อแพทย์รักษาผิดพลาดหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นระหว่างการรักษา แพทย์ควรเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร (Disclosure of medical error)
ต้องเปิดเผยโดยบอกข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น อธิบายด้วยคำง่ายๆให้คนธรรมดาเข้าใจ ให้โอกาสเขาได้ถามจนกระจ่างแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น ชี้แจงให้เห็นว่าเหตุเกิดโดยไม่ตั้งใจ ไม่ใช่ประมาทเลินเล่อหรือเจตนาทำ และทีมแพทย์พยาบาลรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น เราเต็มใจที่จะช่วยเหลือดูแลเฝ้าติดตามอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งสอบถามว่ายังมีอะไรอีกหรือไม่ที่ญาติอยากให้หมอพยาบาลช่วยเหลือ
ต้องบอกข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดทันทีที่รับรู้ ยิ่งเร็วยิ่งดี ยิ่งช้ายิ่งทำให้เสียศรัทธา และสร้างความรู้สึกว่าปกปิดความผิด แต่หากรีบแจ้งและปรึกษาหารือเพื่อหาทางออกร่วมกัน จะแสดงให้ญาติเห็นถึงความจริงใจของทีมแพทย์พยาบาล ซึ่งจะนำมาซึ่งความศรัทธาเพราะแพทย์ได้เคารพศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของญาติ ให้เกียรติญาติที่จะรับรู้และขอคำปรึกษาจากเขา
4. หลังเกิดเหตุ แพทย์ควรกล่าวขอโทษผู้ป่วยหรือญาติหรือไม่ คำขอโทษจะนำไปใช้ยืนยันความผิดแพทย์ในชั้นศาลได้หรือไม่
เมื่อเกิดเหตุผิดพลาดขึ้น แพทย์หลายคน รู้สึกเสียใจ อยากขอโทษ แต่ไม่กล้า! หากรู้สึกเสียใจ ก็ให้บอกว่าเสียใจ หากอยากบอกว่าขอโทษ ก็ให้บอกขอโทษ ทำไมจะต้องกลัวที่จะกล่าวขอโทษ ต้องรู้จักความรู้สึกของตนเอง ความรู้สึก เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ต้องรู้สึกดีที่เรารู้ตัวว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ให้รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น การยอมรับความรู้สึกของตนเองเป็นการพัฒนาจิตใจของตนเอง ทำให้เข้าใจตนเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่จะเข้าใจความรู้สึกของคนไข้และญาติได้
หลังแสดงความเสียใจหรือขอโทษแล้ว ต้องขยายความต่อไปอีกว่าหมอเสียใจเรื่องอะไร รู้สึกแย่เรื่องอะไร เพราะเหตุใด ญาติจะได้เข้าใจและพร้อมจะอภัยให้ บ่อยครั้งที่แพทย์รู้สึกผิดเกินไปเองโดยญาติไม่ได้ถือสาหาความอะไร แพทย์มักระแวงว่าตนจะทำผิดอยู่ร่ำไป เพราะถูกฝึกมาให้ย้ำคิดทบทวนเช่นนั้น ทำไปแล้วก็มาคิด"เอ๊ะ มันจะถูกหรือเปล่า มันอาจจะมีอะไรดีกว่านี้" ดังนั้นหากรู้สึกเสียใจหรือรู้สึกผิดก็ให้บอกผู้ป่วยและญาติ จะได้รู้จักความรู้สึกตนเองมากขึ้นเมื่อญาติบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกหมอ แหมเรื่องแค่นี้" และบ่อยครั้งในเวชปฏิบัติที่แพทย์พยาบาลก็ขอโทษขอโพยผู้ป่วยและญาติอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นจะกลัวอะไรหากกล่าวขอโทษในกรณีเช่นนี้
อย่างไรก็ตามแพทย์พยาบาลบางคนกลัวที่จะรู้สึก เพราะคิดว่าเราไม่ควรมีความรู้สึกร่วมไปกับ ผู้ป่วย กลัวทุกข์ใจไปกับเรื่องราวของเขาด้วย คิดว่า การเป็นวิชาชีพคือไม่สามารถรู้สึกร่วมไปกับคนที่เขามาพึ่งเราได้ เราถูกสอนมาไม่ให้รู้สึก (Feeling) แต่ให้สนใจเฉพาะข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ (Fact) ซึ่งจริงๆ แล้ว การรักษาคน ที่ไม่ใช่เพียง การรักษาโรค ต้องอาศัยความรู้สึกต่อกันระหว่างผู้รักษากับผู้รับการรักษา จึงจะเยียวยากันได้. แพทย์บางคนไม่รู้สึกจนชินชา กลายเป็นนิสัยใหม่ เมื่อรู้สึกผิดจึงไม่อาจกล่าวขอโทษได้อีกต่อไป เพราะถือว่า "ของมันทำพลาดกันได้ ใครๆก็รู้" เลยให้อภัยตนเองไปโดยอัตโนมัติ และละเลยที่จะใส่ใจในความรู้สึกของตนเองและคนอื่นไปทั้งหมด คิดว่าผู้ป่วยและญาติก็คงอภัยให้หมออยู่แล้ว
แพทย์บางรายอาจมีอาการหนักกว่า คือ ไม่มีจิตสำนึกของความรู้สึกผิด(Insight)อยู่เลย ทำผิดก็ไม่เคยคิดว่าผิด กลุ่มนี้ก็ยากจะเยียวยา เพราะทั้งคิดและรู้สึกไม่ได้ด้วยตนเอง
อนึ่ง คำขอโทษที่แพทย์พูดกับผู้ป่วยและญาติก็ไม่สามารถนำไปใช้ในชั้นศาลได้ เพราะกำกวม ไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไร ไม่ใช่การยอมรับว่ากระทำผิด ต้องสืบพยานใหม่ตามลักษณะของการสืบสวนตามขั้นตอนปกติ ดังนั้นจึงไม่ควรกลัวที่จะกล่าวคำขอโทษหากรู้สึกอยากกระทำ
5. เมื่อญาติส่งทนายมาขอเวชระเบียน แพทย์หรือพยาบาลควรทำอย่างไร
ต้องให้โดยไม่อิดออดหรือประวิงเวลา เพราะจะยิ่งทำให้เขารู้สึกระแวงสงสัยและจับผิดเรามากขึ้น อำนวยความสะดวกให้เขาได้ดู ได้ถามข้อสงสัยต่างๆ ต้องอ่านท่าที (วัจนะและอวัจนะ) ดังกล่าวให้เป็น ว่า การมาขอเวชระเบียน เพราะเขาสงสัยอะไรบางอย่างและขอศึกษาข้อมูลเหล่านั้นอย่างละเอียด หากเราเข้าใจกระบวนการบันทึกเวชระเบียน เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่ามันอ่านยาก คนธรรมดาที่ไม่ใช่วิชาชีพนี้อ่านไม่เข้าใจ แปลข้อมูลไม่ได้ เราก็ควรถามไถ่และช่วยแปลข้อมูลที่เขาอยากได้ ให้เขารู้และเข้าใจมากขึ้น
6. หากญาติมีท่าที "เรื่องมาก เรียกร้องสูง ข่มขู่เรื่องฟ้องร้องหรือร้องเรียนผ่านสื่อ" ทีมแพทย์พยาบาลควรทำอย่างไร
ต้องตื่นตัวต่ออาการข่มขู่ดังกล่าวว่าเป็นอาการตื่นตระหนกอย่างมากของญาติ เป็นความกลัวถึงขีดสุดที่ญาติแสดงออกมาในรูปต่อต้านหรือต่อสู้กับสิ่งรอบ ข้าง เพื่อให้เขารู้สึกว่าควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้น แสดงว่าเขากำลังรู้สึกว่าควบคุมสถานการณ์ของตนเอง ไม่ได้ บ้างก็มีความปรารถนาจะแสดงออกให้คนอื่นเห็น ว่าทำทุกอย่างเต็มที่แล้วเพื่อผู้ป่วย รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้ป่วย
ให้ตื่นตัวแต่ไม่ต้องตื่นตูม แพทย์พยาบาลไม่ควร "กลัวคำขู่" "กลัวสื่อ" "กลัวผิด" "กลัวเสียหน้า" แต่ให้แผ่กระจายความเมตตาและความเอื้ออาทรให้ เขาต้องรีบเข้าไปจับเข่าคุยกับเขาอย่างเป็นมิตร ว่าเกิดเหตุทุกข์ร้อนอะไรกับเขาบ้าง แพทย์พยาบาลจะช่วยอะไรได้บ้าง ให้เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ญาติที่ "ร้อนๆ และ เรื่องมาก" จะได้สงบลงท่ามกลางภาวะวิกฤต
ระวังอคติของแพทย์พยาบาลที่เมื่อเห็นคนไข้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายแล้ว มักจะตัดสินว่าเขาอยากได้เงิน อยากหาเงินทางลัด เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่าสาเหตุแห่งการฟ้องแพทย์ คือ การที่ญาติอยากได้ข้อมูล อยากคุยด้วย อยากถาม แต่แพทย์มักปกปิดหรือไม่คุยด้วย ซึ่งทำให้เขาไม่มีทางออกอื่นนอกจากฟ้องศาล เพื่อให้หมอมาชี้แจง
นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับแพทย์พยาบาล เพราะเขายังต้องอาศัยพึ่งพิงยามเจ็บป่วย เขาไม่อยากจะทำอะไรให้หมอจดจำเขาไว้ ในทางเสียหาย หรือกลายเป็น "คนไข้ที่ไม่ดี" ในสายตาหมอ หากไม่ใช่ความรู้สึกสุดท้ายว่า "ดับเครื่องชน" ดังนั้นจึงมักได้ยินคนไข้พูดถึงสาเหตุการร้องเรียนหรือการฟ้องร้องอยู่เสมอๆว่า "ให้เป็นคดีตัวอย่าง จะได้ไม่ทำอย่างนี้กันอีก"
คนไข้ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ฟ้องร้องเพื่อเอาเงิน แต่เพื่อ "เอาคืน" ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นสัญญาณ บ่งบอกการสิ้นศรัทธากับทีมผู้รักษา แต่ก็ไม่ได้หมายรวมถึงแพทย์พยาบาลทุกคนในประเทศนี้ เขาต้องการเอาคืนเฉพาะคนที่เขาสิ้นศรัทธา คนที่เขาคิดว่าไม่จริงใจกับเขาเท่านั้น ดังนั้นคนที่ทำให้เขาสิ้นศรัทธาคือพวกเรากันเอง ที่ไม่ตระหนักในความทุกข์ด้านอื่นๆของผู้ป่วยและญาติ ไม่สื่อสารให้เขาเข้าใจหรือสิ้นสงสัย
ยาที่ดีที่สุดสำหรับปรากฏการณ์ฟ้องแพทย์ คือ ความจริงใจและคำขอโทษ หรือแสดงความเสียใจอย่าง จริงใจจากแพทย์. ส่วนการป้องกันที่ดีที่สุด คือ ความรู้สึกที่ดีต่อกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ขณะที่รักษาพยาบาล ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับญาติที่มีท่าทีไม่พอใจและโจมตีแพทย์พยาบาล ก็ให้เห็นอกเห็นใจว่าเขากำลังทุกข์ ให้เข้าใจเขา ให้หาทางช่วยเขา เพราะปรากฏการณ์ญาติ ลักษณะนี้ก็มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดช่วงระบาดของปรากฏการณ์ฟ้องแพทย์
สายพิณ หัตถีรัตน์ พ.บ., ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป) อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 15,832 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้