เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2550 ศาลจังหวัดทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกแพทย์ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาฐานกระทำโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291.
คดีนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2545 โรงพยาบาลอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เวลาประมาณ 20.00 น. ได้รับผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งซึ่งส่งตัวมาจากสถานีอนามัยบ้านไม้หลา โดยวินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ. แพทย์ 2 คนจึงร่วมกันทำการรักษา โดยแพทย์ชาย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นผู้ผ่าตัด และแพทย์หญิงเป็นผู้ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง เพื่อระงับความรู้สึก และเป็นผู้ช่วย ผ่าตัดด้วยภายหลังจากการฉีดยาเข้าช่องไขสันหลังเรียบร้อยแล้ว. ขณะเริ่มลงมือผ่าตัด ก็พบว่าผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น และหยุดหายใจ แพทย์ทั้งสองจึงยุติการผ่าตัดและได้ทำการกระตุ้นหัวใจ และช่วยการหายใจทันที เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย ซึ่งได้ทำให้หัวใจผู้ป่วยกลับมาเต้นอีกครั้งหนึ่ง. หลังจากนั้นจึงได้นำผู้ป่วยส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครศรีธรรมราชในคืนนั้น โดยแพทย์หญิงคนนั้นได้ดูแลผู้ป่วยตลอด และได้นั่งรถไปส่งผู้ป่วยที่โรงพยาบาลด้วย ผู้ป่วยได้รับรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชและเสียชีวิตในอีก 16 วันต่อมา คือวันที่ 5 มิถุนายน 2545. ศพได้ถูกส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวชวิทยา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งแพทย์นิติเวชได้สรุปสาเหตุในรายงานการตรวจศพว่าผู้ป่วย เสียชีวิตจากระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลว.
การที่แพทย์หญิงซึ่งเป็นแพทย์ใช้ทุนปีที่ 2 ของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองในโรงพยาบาลอำเภอ นอกเวลาราชการ ตามความรู้ ความชำนาญของตนเอง และต้องรับโทษจำคุกในลักษณะนี้ จะมีผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของแพทย์เป็นอย่างยิ่ง และอาจทำให้แพทย์ ตื่นตระหนกจนไม่กล้ารักษาผู้ป่วย. โดยทำการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าทั้งทางด้านบุคลากรและอุปกรณ์ทางแพทย์ (เพราะในโรงพยาบาล อำเภอที่เป็นโรงพยาบาลชุมชนกว่า 700 แห่ง เกือบทั้งหมดไม่มีวิสัญญีแพทย์เลย) จะทำให้เกิดปัญหาตามมาคือ ผู้ป่วยจะไปคั่งอยู่ตามโรงพยาบาลจังหวัด และโรงพยาบาลศูนย์ และอาจมีการส่งต่อมายังโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ทำให้ระบบสาธารณสุข ที่มีนโยบายกระจายการรักษาไปสู่ชนบทจะประสบความล้มเหลว และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ หากความตื่นตระหนกของแพทย์มีสูงขึ้นมากจนไม่กล้าตัดสินใจทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง (เนื่องจากสูญเสียความมั่นใจ เพราะความกลัวที่จะต้องรับโทษทางอาญาถึงขั้นจำคุก) ทำให้ตัดสินใจส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาต่อยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียงต่อความตายมากขึ้น.
เนื่องด้วยการประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเป็นการกระทำต่อชีวิตและร่างกายมนุษย์ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะอันไม่พึงประสงค์โดยไม่คาดคิดขึ้นได้เสมอ แม้ผู้ประกอบวิชาชีพจะได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์อย่างสูงแล้วก็ตาม การที่จะพิจารณาว่าผู้ประกอบวิชาชีพจะมีความผิดและต้องรับโทษทางอาญาหรือไม่ จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางวิชาการเฉพาะสาขาที่มีความสลับซับซ้อนมาก ซึ่งมีความก้าวหน้าและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา.
ดังนั้นในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นจากการประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่ได้เจตนา จึงไม่ควรใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 มาตรา 300 และมาตรา 390 ที่ใช้สำหรับความผิดทั่วไปมาใช้บังคับลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ แต่ควรมีกฎหมายพิเศษที่มีบทกำหนดความผิด บทกำหนดโทษและวิธีพิจารณาความแยกออกมาต่างหากเพื่อให้มีการคุ้มครองทั้งผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพและประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา จักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 80 (2).
ขณะนี้แพทยสภากำลังดำเนินการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ทั้งนี้เพื่อให้แพทย์ทุกๆคน มีความมั่นใจอย่าง เต็มที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศตามเบื้องพระยุคลบาทของสมเด็จพระมหิตลา-ธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก.
อำนาจ กุสลานันท์ พ.บ.
น.บ., น.บ.ท.,
ว.ว. (นิตเวชศาสตร์)
ศาสตราจารย์คลินิก
เลขาธิการแพทยสภา
- อ่าน 2,581 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้