สถานการณ์ต่อไปนี้ เป็นสถานการณ์สมมติ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้น ณ โรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้...ในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไปนัก...
นายแพทย์โอม ดูแลคุณลุงนนท์มานานหลายปี เมื่อสักสองเดือนที่ผ่านมานี้เอง ลุงนนท์มีอาการหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก รับประทานอาหารไม่ได้ น้ำหนักลดลงอย่างผิดหูผิดตา.
ลุงนนท์มาหาคุณหมอโอมเพราะปวดสะโพกจนเดินไม่ไหว แล้วเลยถือโอกาสตรวจเรื่องหายใจหอบด้วยเสียเลย. หลังจากที่คุณหมอตรวจร่างกายและเอกซเรย์คอมพิวเตอร์โดยละเอียดแล้ว ก็พบว่าคุณลุงนนท์ป่วยเป็นมะเร็งปอด เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปจนทั่วแล้ว.
สาเหตุที่คุณลุงนนท์เดินไม่ได้นั้น คุณหมอพบว่าเนื่องมาจากเซลล์มะเร็งได้แพร่ไปจนถึงกระดูกสะโพกและกระดูกต้นขาทั้งสองข้าง คนไข้ก็เลยปวดมากจนเดินไม่ไหว.
คุณหมอโอมแจ้งข่าวร้ายให้คนไข้และญาติทราบตามวิธีการ พร้อมกันนั้นก็เริ่มดำเนิน การรักษาไปพร้อมๆกัน โดยการให้ยาเคมีบำบัดและฉายแสง อาการของคุณลุงมีแต่ทรงกับทรุด ส่วนมากแล้วจะทรุดเสียมากกว่า.
คุณลุงโอมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย อายุ 59 ปี เป็นม่ายภรรยาเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว มีลูกชายเพียงคนเดียว ลูกชายของคุณลุงตั้งรกรากอยู่ที่สหรัฐอเมริกา สองสามปีจึงจะกลับมาเยี่ยมคุณพ่อสักหนหนึ่ง.
คุณลุงกำลังจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่นานนี้ คุณลุงมีแผนการจะย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่ เพราะมีที่ดินอยู่ที่นั่น คุณลุงหวังจะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบหลังจากเกษียณอายุราชการ ด้วยการทำสวนปลูกต้นไม้.
แต่แล้วความฝันของคุณลุงก็ไม่อาจจะเป็นจริงได้ เพราะมาป่วยด้วยโรคร้ายแรงเสียก่อน.
กลางดึกคืนหนึ่ง คุณพยาบาลโทรศัพท์แจ้งคุณหมอให้ทราบว่า คุณลุงปวดกระดูกมากจนทนไม่ไหว พยาบาลฉีดมอร์ฟีนให้ไปแล้วแต่ก็เอาไม่อยู่ คุณลุง ยังร้องเอะอะโวยวาย.
ตอนที่คุณหมอมาถึงหอผู้ป่วยนั้น มอร์ฟีนคงจะเริ่มออกฤทธิ์ไปแล้ว คุณลุงนนท์ก็เลยสงบลงไป ไม่เอะอะโวยวายเหมือนอย่างที่พยาบาลรายงานให้ทราบ.
หลังจากตรวจคุณลุงและสั่งยาจนเสร็จเรียบร้อย คุณลุงนนท์รอให้พยาบาลออกจากห้องคนไข้ไปก่อน พอคล้อยหลังพยาบาลประจำหอผู้ป่วย คุณลุงก็จับมือคุณหมอโอมเอาไว้แน่น พร้อมกับบอกว่า
คุณลุง : คุณหมอครับ ผมอยากขอร้องอะไรคุณหมอหน่อยจะได้ไหม
หมอโอม : ได้สิครับ คุณลุงมีอะไรให้หมอช่วยล่ะ
คุณลุง : จริงๆนะหมอ
หมอโอม : จริงสิครับ หมอมีหน้าที่ช่วยคนไข้อยู่แล้ว
คุณลุง : ก่อนจะขอให้หมอช่วย ผมขอถามหมอตรงๆอีกหนว่า โรคของผมรักษาไม่หายแล้วใช่ไหม
หมอโอม อึกอัก และอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายหลังจากที่นิ่งไปนาน เขาก็ตัดสินใจบอกให้คนไข้ทราบตามตรงว่า
: ครับ ตอนนี้มะเร็งของคุณลุง แพร่ไปหลายอวัยวะ ไม่ได้อยู่เฉพาะที่ปอด ผมเกรงว่าการรักษาอาจจะไม่หายขาด แต่ยังไงเราก็ต้องมีความหวังนะครับ เดี๋ยวนี้มียาดีๆมากมาย ถึงรักษาไม่หายขาด แต่คุณลุงก็น่าจะมีชีวิตยืนยาวไปได้นาน
คุณลุง : แปลว่าผมจะต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดไปอีกนานหลายเดือน กว่าจะตายใช่ไหมครับ
หมอโอม : ตอนนี้เรามียาแก้ปวดดีๆ หลายชนิดเลยครับ เวลาคุณลุงปวด เราก็จะให้ยาดีๆ เพื่อให้คุณลุงทรมานน้อยลง
คุณลุง : คุณหมอยังไม่ได้ตอบผมเลยครับว่า ผมรักษาไม่หายใช่ไหม และผมจะต้องทนปวดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตายใช่ไหมครับ
หมอโอม นิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะยอมรับกับคนไข้ในที่สุดว่า : ครับ
คุณลุง : นี่ละครับที่ผมอยากฟัง ตกลงมะเร็งของผมรักษาไม่หาย และผมจะต้องปวดกระดูกไปจนกว่าจะตาย...ผมยังอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ครับหมอ
หมอโอม : จากที่หมอประเมินดูอาการและสภาพของคนไข้...คุณลุงน่าจะมีเวลาอีกสี่ถึงหกเดือนครับ
คุณลุง : สี่ถึงหกเดือนเลยหรือครับ...หมอครับ...อีกสี่ถึงหกเดือนผมก็จะตายอยู่แล้ว หมอช่วยฉีดยาให้ผมนอนหลับและตายไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยได้ไหม ผมจะได้ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป มีประโยชน์อะไรจะยื้อผมเอาไว้ ให้ผมต้องทนทรมานไปอีกหกเดือน ในเมื่อถึงตอนนั้นผมก็ต้องตายอยู่ดี...หมอครับ ผมไม่อยากรออีกแล้ว ผมขอตายตอนนี้เลยดีกว่า...ช่วยทำการุณยฆาตให้ด้วยผมเถอะ...
........................
สมมติว่าถ้าคุณเป็นคุณหมอโอม...ได้เห็นคุณลุงนนท์ทนทุกข์ทรมานจากโรคร้าย อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครคอยดูแล และคุณหมอก็รู้อยู่แก่ใจว่าจริงๆ แล้วโรคของคุณลุงนนท์นั้นรักษาไม่หายหรอก เพราะมะเร็งปอด แพร่กระจายลุกลามไปถึงกระดูกและอวัยวะอื่นๆ ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ รักษาไปตามอาการเช่นนี้ ไม่น่าจะถึงหกเดือนหรอก คุณลุงก็อาจจะเสียชีวิตลงไปเสียก่อนด้วยระบบการหายใจที่ล้มเหลว...
คุณลุงถามหมอว่า จะต้องให้เขาทนทรมานไป อีกตั้งหกเดือนทำไม ในเมื่อโรคก็รักษาไม่หายแน่ๆ และอีกไม่กี่เดือนเขาก็จะต้องตายอยู่ดี....ทำไมหมอไม่ฉีดยาให้เขานอนหลับและสิ้นลมไปอย่างสงบเสียตั้งแต่ตอนนี้...
ถ้าเป็นตัวคุณหมอ และได้รับคำขอร้องเช่นนี้จากคนไข้ คุณหมอจะทำอย่างไรดีครับ
ก. ฉีดยาให้คุณลุงนนท์จากไปอย่างสงบตามที่ร้องขอ
ข. ไม่ฉีด ไม่ทำอย่างนั้น...เป็นหมอ จะฆ่าคนไข้ได้ยังไงกัน
ค. ไม่รู้...ไม่ตอบดีกว่า เพราะนี่เป็นแค่เรื่องสมมติ
ง. ถูกทุกข้อ
ตัดสินใจยากใช่ไหมครับ...ถ้าเป็นผมจะต้องเลือก ผมก็เลือกไม่ถูกเหมือนกัน แถมยังรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก หากจะต้องเลือกคำตอบข้อใดข้อหนึ่ง.
หมอควรจะทำอย่างไรดี ควรจะช่วยให้คนไข้นอนหลับไปตลอดกาลอย่างที่คุณลุงนนท์ร้องขอ หรือว่าจะปลอบใจให้คุณลุงทนปวดต่อไปอีกสักสองสามเดือนดี.
ถ้าคุณหมอไม่ยอมช่วย แน่นอนว่าคุณลุงนนท์ ก็จะต้องทนเจ็บปวด ประสบกับความทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะตาย.
แต่ถ้าคุณหมอเกิดใจอ่อน สงสาร และตัดสินใจช่วยตามที่คุณลุงนนท์ร้องขอล่ะ...
แน่นอนว่าคุณลุงนนท์ก็จะนอนหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เขาจะสิ้นใจตายไปอย่างสงบสุข ไม่ต้องทนเจ็บปวดอย่างที่กำลังเป็นอยู่.
แต่ใครจะรู้...ถ้าเกิดมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นพรุ่งนี้ล่ะ...สมมติว่ามีใครคิดค้นยารักษามะเร็งระยะแพร่กระจายให้หายขาดได้ล่ะ คุณลุงนนท์จะไม่เสียโอกาสที่จะหายป่วยละหรือ.
แล้วคุณหมอจะมีความผิดตามกฎหมายหรือเปล่า เพราะการกระทำเช่นนี้ ก็คือการฆ่าคนตายโดยเจตนาเลยเชียวนะ เพียงแต่เป็นการฆ่าคนในโรงพยาบาล โดยอาศัยหลักวิชาทางการแพทย์มาช่วยเท่านั้นเอง...ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความผิดในทางกฎหมายก็จะยังคงอยู่.
ไหนจะจรรยาบรรณทางการแพทย์อีกล่ะ..... แพทย์ถูกสอนมาให้ช่วยชีวิตคน มิใช่ทำลายชีวิตคนมิใช่หรือ.
ไหนจะคำสอนทางพุทธศาสนาอีกล่ะ....... ปาณาติบาต ผิดศีลข้อหนึ่งเชียวนะ...
โอย...คุณหมอคงคิดว่า ปิยวาจาคลินิกฉบับนี้ เอาอะไรมาถามนะ...ตอบยากเสียเหลือเกิน.
เอ้า...ถ้างั้นสมมติว่าคุณหมอไม่ต้องเป็นหมอก็ ได้ครับ เอาใหม่...
สมมติว่าถ้าคุณหมอมีญาติป่วยด้วยโรคร้ายที่รักษาไม่หาย คนไข้ยังสามารถอยู่ได้อีกสี่ถึงห้าเดือน แต่ตอนนี้จะต้องเห็นเขาเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสทุกวันๆไปเรื่อยๆ...คุณหมอมีความรู้สึกอย่างไรบ้างครับ...
ทุกครั้งที่ไปเยี่ยม คนไข้จะบ่นให้ฟังว่าเจ็บปวดเหลือเกิน อยากจะตายให้พ้นทุกข์ไป...ช่วยบอกหมอหน่อยเถอะ ช่วยทำอะไรสักอย่างให้คนไข้พ้นความทรมานเสียทีจะได้ไหม.
ยากใช่ไหมครับ...หัวข้อนี้ช่างล่อแหลมต่อศีลธรรม จรรยาบรรณ และหลักการทางการแพทย์เหลือเกิน.
การที่โลกปัจจุบันของเรามีวิวัฒนาการไปอย่างมากมายในทุกด้าน วิทยาการทันสมัย มีการค้นพบใหม่ๆที่น่าสนใจ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อำนวยความสุข มุ่งแต่จะทำให้มนุษย์เรามีแต่ความสะดวกสบาย.
แต่ถึงแม้วิทยาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าไปมากแล้ว หากก็ยังมีข้อจำกัด...วันนี้เรายังรักษามะเร็งให้หายขาดไม่ได้ เรายังหยุดยั้งมนุษย์จากความตายไม่ได้ ในวันหนึ่ง เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดความทุกข์ทรมาน...คนไข้จำนวนไม่น้อยจึงไม่อยากจะทน โดยเฉพาะคนไข้ระยะสุดท้าย ที่ป่วยด้วยโรคซึ่งรักษาไม่หาย.
การร้องขอให้หมอช่วยให้คนไข้สิ้นชีวิตไปอย่างเงียบสงบ ไม่ทรมาน จึงเกิดมีมากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ...
อีกไม่นาน ก็จะมีคนไข้ชื่อคุณสมชาย ชื่อคุณ มารตี ชื่อคุณประภาพรรณ และอีกมากมายในเมือง ไทย ที่นอนป่วยด้วยโรคร้าย ทนเจ็บปวดไม่ไหวอีกแล้ว ตัดสินใจขอร้องแพทย์แบบเดียวกับคุณลุงนนท์ คือ ขอให้แพทย์ช่วยฉีดยาให้ตนนอนหลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความทุกข์ทรมานอีกเลย.
มีการวิเคราะห์ว่าเพราะเหตุใด จึงเกิดกรณีคนไข้ขอร้องที่จะตาย ก็พบว่าที่เกิดกรณีแบบนั้นมากขึ้น เป็นเพราะโลกของเราเจริญไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนมีอายุยืนยาวมากกว่าแต่ก่อน จำนวนผู้สูงอายุมีมากขึ้น อัตราการเกิดโรคมะเร็งมีมากขึ้น สภาพครอบครัวของคนในยุคปัจจุบันไม่ค่อยจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ผู้สูงอายุมากมายถูกทอดทิ้งให้อยู่ลำพัง เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาจึงลำบากมากเพราะไม่มีใครคอยดูแล.
คนไข้ระยะสุดท้ายหลายรายจึงพ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวดทรมาน และร้องขอที่จะตายก่อนเวลาอันควร.1
แต่คุณหมอจะพบว่าเมื่อเราคุยกันถึงเรื่องการดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย หัวข้อหนึ่งที่มิอาจจะเลี่ยงได้ ก็คือ ประเด็นของการทำการุณยฆาตหรือ Euthanasia.
การที่คนไข้ร้องขอความตายจากแพทย์ และการที่แพทย์หยิบยื่นความตายให้กับคนไข้ก่อนมรณกาลที่แท้จริงของเขา ทางการแพทย์เราเรียกว่า การุณยฆาต หรือ Euthanasia ครับ.
การุณยฆาตไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีประวัติมานานนักหนา ถ้าสืบค้นให้ละเอียดแล้วละก็ จะพบว่ามีมาตั้งแต่สมัยอัศวินในสงครามครูเสดโน่นแน่ะครับ.
ในการรบครั้งหนึ่งพระเจ้า Saul ถูกดาบของศัตรูปักอยู่ที่ชายโครง เจ็บปวดทรมานมาก จะตายก็ไม่ตาย จะหายก็ไม่หาย เจ็บอยู่นานหลายวัน สุดท้ายพระองค์ก็ตรัสเรียกให้แพทย์หลวงเข้าเฝ้า และรับสั่งให้แพทย์หลวงฆ่าพระองค์ให้ตายไปเสีย เพราะทนเจ็บปวดอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว...เห็นไหมครับว่าการุณยฆาตนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สักหน่อย หากแต่มีมานานแล้ว.
แต่การที่บุคคลคนหนึ่ง แสดงความจำนงว่า ถ้าฉันป่วยหนัก ห้ามใส่เครื่องช่วยหายใจนะ...ถ้าฉันป่วยหนัก ไม่เอา ไม่เอา ห้ามปั๊มหัวใจนะ ไม่อยากอยู่อีกแล้วโลกอันแสนจะวุ่นวาย...การแสดงเจตจำนงเช่นนี้ เรียกว่า Living Will ครับไม่ใช่การุณยฆาต.
Living Will แตกต่างจากการุณยฆาตแน่นอน เพราะการุณยฆาตคือ การที่คนไข้บอกหมอว่า..... ช่วยฆ่าฉันหน่อยเถอะ ฉันทนทรมานต่อไปไม่ไหวแล้ว...ขณะที่เจตนาของ Living Will นั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด.
Euthanasia มาจากรากศัพท์ภาษากรีก คำว่า Eu (ดี) + Thanatos (ความตาย) เมื่อคำทั้งสองมารวมกัน Euthanasia จึงมีความหมายว่า การตายที่ดี.2
ถึงตรงนี้ หลายท่านอาจมีคำถามในใจว่า แล้วการตายที่ดี คืออย่างไรกัน.
คำถามนี้ มีคำตอบที่หลากหลายแตกต่างกัน ไปตามทัศนคติและความเชื่อของแต่ละกลุ่มบุคคลครับ.
แพทย์ทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะบอกว่า การตายที่ดี คือการตายที่สมเกียรติและสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ศาสนาหลายศาสนาบอกว่า การตายที่ดี คือการที่จิตแยกออกไปจากร่างกาย และเดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่ด้วยความสงบ ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในแต่ละยุคสมัย ก็จะ พบว่าในสมัยที่ยังไม่มีโรงพยาบาลนั้น คนป่วยหนักจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายนอนอยู่ที่บ้าน ท่ามกลางญาติพี่น้องและคนรักที่แวดล้อมอยู่รอบเตียง และสิ้นใจไปในเตียงของตัวเองอย่างอบอุ่น เป็นต้น.3
แต่ในปัจจุบันนี้ คำว่า Euthanasia หรือการุณยฆาต ถูกนำมาใช้ในความหมายของการฆ่าด้วยความปราณี (Mercy Kill) โดยแพทย์จะเป็นผู้ที่ช่วยให้ ผู้ป่วยเสียชีวิตลงโดยความสงบ พ้นไปจากความทุกข์ทรมาน.
การุณยฆาตนั้น ในทางการแพทย์ จึงแบ่งออกเป็นสองลักษณะด้วยกันครับ คือ
1. Passive Euthanasia หรือ การปล่อยให้ผู้ป่วยสิ้นใจไปเองอย่างสงบ วิธีนี้แพทย์ไม่ได้ลงมือทำ ให้ผู้ป่วยเสียชีวิต แต่แพทย์จะปล่อยให้ผู้ป่วยสิ้นใจ ไปโดยไม่ใช่เครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องช่วยหายใจ หรือ การปั๊มหัวใจ มาช่วยยืดชีวิตคนไข้.
ในกรณีเช่นนี้ ความผิดทางกฎหมายนั้นไม่ชัดแจ้งอย่างเช่นกรณีที่ 2 ครับ.
2. Active Euthanasia คือการที่แพทย์ฉีดยา หรือใช้กระบวนการทางการแพทย์ใดๆ มาทำให้ผู้ป่วย คนนั้นตายไปโดยปราศจากความเจ็บปวดทรมาน.
วิธีการเช่นนี้ มีความผิดทางกฎหมายแน่นอนครับ เพราะเป็นการเร่งให้ผู้ป่วยตายไปก่อนเวลาอันสมควร.
ถึงตรงนี้ ผมขอยกเอาประโยคอมตะของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ แห่งเนติบัณฑิตยสภามา เอ่ยอ้างสักนิดครับ เพราะท่านกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจน ถึงกรณีการุณยฆาตว่า
"คนเรานั้นเกิดมาแล้วต้องตายทุกคน ฆ่าก็ตาย ไม่ฆ่าก็ตาย การฆ่าจึงเป็นการทำให้ตายก่อนเวลาธรรมดาของเขาเหล่านั้น คนที่จวนจะตายเพราะอายุหรือโรคหรือถูกทำร้ายก็ต้องตายอยู่แล้ว ใครทำให้เขาตายเร็วขึ้นถือเป็นการฆ่าทั้งสิ้น..."4
ในเมื่อการทำการุณยฆาตเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่คนไข้กำลังขอร้องหมอให้ช่วยทำการุณยฆาตให้... คุณหมอจะทำอย่างไรดีครับในสถานการณ์เช่นนี้
ทำ หรือ ไม่ทำ
แล้วจะพูดคุยสื่อสารกับคนไข้อย่างไรดี ผมขอยกไปคุยกันต่อฉบับหน้าครับ.
เอกสารอ้างอิง
1. Kathleen Forley, MD. The case against assisted suicide, For the right to End-Of-Life Care. The John Hopkins Univerisity press, 2002.
2. อ้างถึงแล้วใน 1
3. Elisabeth Kuber Ross. On Death and Dying. New York : Scriber Publishing, 1997.
4. จิตติ ติงศภัทิย์. กฎหมายอาญา ภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, สำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตย-สภา, 2532.
พงศกร จินดาวัฒนะ พ.บ.
ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป)
อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ศูนย์สุขภาพชุมชน 1
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม
โรงพยาบาลราชบุรี
- อ่าน 11,163 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้