พ.ศ. 2544 เป็นปีที่ประวัติศาสตร์การสาธารณสุขไทยได้พลิกโฉมเข้าสู่ยุคใหม่ของการขยายหลักประกันสุขภาพให้แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ.
วันนี้ อาจจะกล่าวได้ว่าคนไทยเกือบทุกคนได้รับหลักประกันสุขภาพ โดย 47 ล้านคนมีสิทธิตามบัตรทอง 8.5 ล้านคนได้รับสิทธิประกันสังคม และ 5.4 ล้านคนได้รับสิทธิสวัสดิการข้าราชการ.
การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพนี้ทำให้คนจนแบกภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพลดลงเกือบ 4 เท่าจากร้อยละ 8 เมื่อ 14 ปีก่อนเหลือร้อยละ 2.5 ในปี พ.ศ. 2549 อันเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับของคนรวย (ร้อยละ 1) ช่องว่างของการแบกภาระนี้ระหว่างคนจนกับคนรวยในระยะดังกล่าวจึงหดตัวลงอย่างชัดเจน นับเป็นความสำเร็จที่น่าอิจฉาในสายตาของชาวโลก.
ไม่เพียงเท่านี้ สัดส่วนคนจนที่ต้องเผชิญกับสภาวะเจ็บป่วยจนล้มละลายก็ลดลง 4 เท่ามากกว่าตัวเลขภาพรวมที่ลดลง 2.5 เท่าสำหรับคนทุกระดับเศรษฐฐานะ ครัวเรือนที่ยากจนลงเพราะต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ลดลงจากร้อยละ 18 เมื่อปี พ.ศ. 2543 เหลือร้อยละ 8 ในเวลาเพียง 3 ปีหลังการปฏิรูป.
ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ชัดเจนว่า กำแพงด้านการเงินที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพได้หดตัวลงอย่างมากสำหรับคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนจน จึงไม่แปลกที่สถานพยาบาลของรัฐทั่วประเทศต้องเผชิญกับภาระการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา. สถิติแสดงตัวเลขปี พ.ศ. 2546-47 ให้เห็นว่า ที่ระดับสถานีอนามัยจำนวนผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 ที่โรงพยาบาลชุมชนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 93 ก่อนที่จะเพิ่มลดลงเป็นร้อยละ 26 และที่โรงพยาบาลใหญ่ลดลงร้อยละ 40 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 ทำนองเดียวกันจำนวนผู้ป่วยใน 3 ปีแรกของการปฏิรูปฯ ก็มีการขยายจำนวนชัดเจนในโรงพยาบาลชุมชน.
ในด้านตรงกันข้าม ถ้าการปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการยกระดับการบรรลุเป้าหมายตามที่องค์การอนามัยโลกระบุ ยังมีความท้าทายสำคัญๆรออยู่ข้างหน้า ได้แก่
1. การกระจายทรัพยากรสำคัญอย่างเท่าเทียมระหว่างภูมิภาค เช่นจำนวนแพทย์ พยาบาล และเตียง.
2. การตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ป่วยในด้านคุณภาพบริการ ความว่องไว ความพึงพอใจ.
3. ความยั่งยืนในการจัดหาและกระจายบริการ/ทรัพยากร.
4. คุณภาพบริการในด้านผลลัพธ์ทางสุขภาพ เช่น อัตราหาย อัตราป่วยตาย อัตราพิการ เป็นต้น.
5. การตอบสนองต่อภาวะคุกคามทางสุขภาพ เช่น โรคอุบัติซ้ำ (reemerging disease) โรคอุบัติใหม่ (new emerging disease) ภัยพิบัติ ฯลฯ.
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านั้น มีหลายฝ่ายห่วงใยต่อความสามารถในยกระดับการเรียนรู้และปรับตัวของทุกฝ่าย ทุกระดับที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาองค์ประกอบของระบบบริการสุขภาพ เพราะเป็นที่ตระหนักร่วมกันว่าระบบบริการสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา.
แม้แต่ภายในระบบบริการสุขภาพเอง ภายหลังการปรับโครงสร้างระบบราชการ ได้นำไปสู่ความถดถอยของโครงสร้างการสาธารณสุขที่เคยโดดเด่นด้านการป้องกันโรค อย่างเช่นการควบคุมวัณโรค ที่ปัจจุบันความสำเร็จของการรักษาลดลงเหลือร้อยละ 74 ต่ำกว่ามาตรฐาน (ร้อยละ 85) อย่างน่าวิตก.
- อ่าน 1 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้