จากการดำเนินการพัฒนาบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า กำลังคนที่เป็นหลักในการให้บริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ได้แก่ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่กระจายอยู่ตามศูนย์สุขภาพชุมชนและสถานีอนามัย ตามตำบลต่างๆกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ. ในช่วงปีแรกๆของการดำเนิน "โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค" ได้มีความพยายามผลักดันให้มีแพทย์จากโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลศูนย์หมุนเวียนลงไปให้บริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิ ซึ่งส่วนใหญ่ออกไปทำการตรวจโรคแบบ extended OPD และไม่ได้ผนวกเข้ากับทีมงานสาธารณสุขประจำถิ่นในการทำงานแบบบูรณาการและรุกเข้าหาชุมชน. ไม่ช้าต่างก็ถอยกลับเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากภาวะขาดแคลนแพทย์ในโรงพยาบาล และส่งพยาบาล จากโรงพยาบาลไปทำงานแทน ซึ่งบางส่วนก็ทำงานร่วมกับทีมงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้ดี แต่บางส่วนก็ยังจำกัดบทบาทเฉพาะด้านการตรวจโรคแบบ extended OPD อย่างเดียวกับที่แพทย์ทำ.
ในระยะ 1-2 ปีมานี้ ก็ได้มีความพยายามสนับสนุนให้เกิด "ศูนย์แพทย์ชุมชน" (community medical unit หรือ CMU) ซึ่งเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิที่มีแพทย์อยู่ประจำทุกวัน เพื่อทำหน้าที่ดูแลทั้งครอบครัวและชุมชนอย่างบูรณาการและต่อเนื่อง ทั้งนี้ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดงบประมาณเพื่อตอบแทนแพทย์ที่ประจำอยู่ศูนย์แพทย์ชุมชนเป็นกรณีพิเศษ. แต่เนื่องจากภาวะขาดแคลนแพทย์ในโรงพยาบาลระดับอำเภอและจังหวัด จึงหาแพทย์เพื่อไปอยู่ประจำที่ศูนย์แพทย์ชุมชนได้ค่อนข้างยากเย็น. ขณะนี้จึงมีศูนย์แพทย์ชุมชนเกิดขึ้นทั่วประเทศไม่ถึง 100 แห่ง (หลายแห่งสามารถทำงานได้ตามแนวคิดเวชศาสตร์ครอบครัวได้อย่างประทับใจ) แต่ก็นับว่าเป็นจำนวนน้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะให้มีศูนย์แพทย์ชุมชน 1,000 แห่ง ภายใน 4 ปี.
คาดว่าในระยะ 10-20 ปีข้างหน้านี้ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะยังคงเป็นกำลังหลักในการให้บริการปฐมภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบท.
ในขณะนี้ ได้มีพยาบาลที่เรียนจบหลักสูตรพยาบาลเวชปฏิบัติ 4 เดือน ตามเกณฑ์ของสภาการพยาบาล อย่างน้อย 6,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อย.
หน่วยงานที่รับผิดชอบน่าจะหาทางส่งเสริมสนับสนุนให้พยาบาลเวชปฏิบัติเหล่านี้ ลงไปปฏิบัติงานที่หน่วยบริการปฐมภูมิ โดยการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นและสร้างแรงจูงใจให้สามารถทำงานในชุมชนได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน.
ขณะเดียวกันก็หาทางสนับสนุนด้านวิชาการให้สามารถทำเวชปฏิบัติได้อย่างมีคุณภาพ โดยใช้โรงพยาบาลชุมชนเป็นฐานสนับสนุน. อาทิ
♦ จัดกิจกรรมเรียนรู้ต่อเนื่องที่โรงพยาบาล เช่น อบรมความรู้ และฝึกฝนทักษะ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน.
♦ จัดให้มีแพทย์ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง (mentor) ออกไปนิเทศงานยังหน่วยบริการปฐมภูมิที่พยาบาลปฏิบัติงานอยู่ สังเกตการณ์ทำงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน.
♦ จัดให้มีการประชุมอภิปรายกรณีศึกษา (case conference) เป็นประจำ โดยนำประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยในชุมชนมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำความรู้ที่เกิดขึ้นกลับไปดูแลผู้ป่วยในชุมชนให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งๆขึ้นไป.
♦ เปิดโอกาสให้พยาบาลเวชปฏิบัติมาเยี่ยมผู้ป่วยที่ถูกส่งตัวมาพักรักษาในโรงพยาบาล ทั้งนี้เพื่อให้พยาบาลได้เรียนรู้วิธีการตรวจรักษาผู้ป่วย การวินิจฉัยโรคและวางแผนดูแลผู้ป่วยเมื่อกลับไปยังชุมชน. นอกจากนี้ พยาบาลซึ่งรู้จักผู้ป่วยของตัวเองเป็นอย่างดีก็สามารถให้กำลังใจผู้ป่วย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ทีมโรงพยาบาลในการดูแล ผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม และประสานงานกับทีมโรงพยาบาลในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วย.
♦ เปิดโอกาสให้พยาบาลปรึกษาปัญหาที่พบขณะทำเวชปฏิบัติอยู่ในหน่วยบริการปฐมภูมิโดยทางโทรศัพท์ วิทยุและ/หรืออินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลควรจัดให้มีแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลในการให้คำปรึกษาได้ตลอดเวลา.
เชื่อว่า ถ้าโรงพยาบาลได้ขยายบทบาทดังกล่าว และทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ก็ย่อมจะเสริมให้ระบบบริการปฐมภูมิเกิดความเข้มแข็งเป็นที่พึ่ง "ใกล้บ้าน-ใกล้ใจ" ของประชาชนได้เป็นอย่างดี.
- อ่าน 2,166 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้