ในยุคสมัยที่วิทยาการปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก การสื่อสารทันสมัย ทั่วโลกสามารถติดต่อหากันได้ภายในลัดนิ้วมือเดียว การุณยฆาต หรือ Euthanasia จึงไม่ใช่เรื่องห่างไกลตัวคุณหมออีกต่อไป.
ใครจะรู้ครับ วันดีคืนดี คนไข้ระยะสุดท้ายของคุณหมออาจจะขอร้องให้ช่วยยุติชีวิตของ เขาลงก็ได้ เพราะไม่อยากจะทนเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว.
มโนธรรมภายในใจของคุณหมออาจจะต่อสู้กัน ใจหนึ่งอยากช่วยเพราะคุณหมอเองก็รู้ว่าคนไข้ไม่หายแน่ๆ ขณะที่อีกใจหนึ่งบอกว่าเป็นการกระทำที่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม การฆ่าคน คือผิดศีลข้อปาณาติบาตเชียวนะครับ.
เมื่อถึงเวลานั้น คุณหมอจะทำอย่างไรดี...
ผมขอแนะนำขั้นตอนในการดูแลผู้ป่วยที่ 'ขอตาย'1 ดังนี้ครับ
1. เมื่อคนไข้ขอตาย สิ่งสำคัญที่สุดสิ่งแรกที่คุณหมอควรระลึกเอาไว้เสมอก็คือ การเปิดใจรับฟังคนไข้ (listening) ตระหนักถึงคุณค่า (value) และศักดิ์ศรี (dignity) ของคนไข้ครับ
- คนไข้คนนั้น และ/หรือครอบครัวของเขาจะต้องนับถือและเชื่อมั่นในตัวคุณหมอในระดับที่สูงมาก เขาถึงกล้าพอที่จะออกปากขอร้องให้คุณหมอช่วยทำการุณยฆาตให้ และนั่นแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอกับคนไข้ (Doctor-patient relationship) จะต้องมีมากในระดับหนึ่ง.
- ไม่ว่าคุณหมอจะเห็นด้วยกับการทำการุณยฆาตหรือไม่ ขอให้คุณหมอเปิดใจกว้าง เพื่อฟังคนไข้และครอบครัวครับ มีวิจัยทางการแพทย์อย่างน้อยหนึ่งฉบับแสดงให้เห็นว่า คนไข้ระยะสุดท้ายประมาณร้อยละ 80 ไม่มั่นใจว่าควรจะ คุยเรื่องการุณยฆาตกับหมอดีหรือไม่ เพราะไม่แน่ใจว่าหมอจะมีปฏิกิริยาอย่างไร.2
2. ค้นหาความต้องการที่แท้จริงของคนไข้ และสิ่งที่คนไข้ตระหนัก (exploring patient concern) ว่าเหตุใดเขาจึงขอร้องให้หมอช่วยทำการุณยฆาตให้. คนไข้ส่วนใหญ่มักมีสิ่งอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่ นอกเหนือไปจาก 'ความต้องการที่จะตาย' มีคนไข้ระยะสุดท้ายจำนวนไม่น้อยที่กลัวว่าตนเองจะเป็นภาระคนอื่น กลัวว่าจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มากกว่ากลัวความเจ็บปวด.
มีวิจัยการแพทย์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) ฉบับหนึ่ง3 น่าสนใจมาก
Dr. Pearlman ผู้วิจัยและทีมงานได้สัมภาษณ์ครอบครัวของผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวน 35 ครอบครัว ว่าเหตุใดคนไข้ถึงอยากให้หมอทำการุณยฆาตให้คำตอบเป็นดังนี้ครับ.
ร้อยละ 69 เพราะรู้สึกเหนื่อย ไม่สบายตัว รู้สึกทรมาน.
ร้อยละ 66 เพราะสูญเสียความสามารถใน การดำรงชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน.
ร้อยละ 60 เพราะรู้สึกกลัวจะตายอย่างทรมาน กลัวจะควบคุมตนเองไม่ได้เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง.
ร้อยละ 49 เพราะเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดี เกี่ยวกับการตายของญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดมาก่อน.
ร้อยละ 40 เพราะปวด ไม่สามารถควบคุมอาการปวดได้.
ร้อยละ 9 เพราะไม่อยากเป็นภาระของคนอื่น.
จากผลการวิจัยดังกล่าว จะเห็นว่าคนไข้หนึ่งคน เมื่อตัดสินใจขอให้แพทย์ทำการุณยฆาตให้นั้น มักจะมีเหตุผลมากกว่าหนึ่งอย่าง คุณหมอจำเป็นจะต้องสนทนากับคนไข้ เพื่อทราบสิ่งที่คนไข้คิดและความตระหนัก เพื่อจะได้นำมาส่องสะท้อนมองตนเองเสียก่อน.
เช่น การที่คนไข้อยากตาย เป็นเพราะรู้สึกทรมานกับความเจ็บปวดที่ได้รับ คุณหมออาจจะต้องกลับมาพิจารณาการรักษาว่า pain control ที่ให้กับคนไข้นั้นเพียงพอแล้วหรือยัง.
การที่คนไข้รู้สึกกลัว กังวลว่าจะทรมานเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง คุณหมออาจจะต้องค้นหาว่า ที่จริงแล้วคนไข้กำลังมี major depression อยู่หรือเปล่า จึงมีความคิดอยากตาย เป็นต้น.
3. สนทนากับคนไข้เรื่องกระบวนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย และกระบวนการของความตาย (talking about palliative care and the dying process)
คนไข้ระยะสุดท้ายแทบทุกราย เมื่อรู้ตัวว่าโรคที่เป็นไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้ พวกเขามักจะเกิดคำถามสองข้อ คือ หมอจะช่วยฉันได้อย่างไร และจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันต่อไป คุณหมอสามารถช่วยเหลือคนไข้ได้โดยการ.
- อธิบายการดำเนินโรคในขั้นต่อไปให้คนไข้และญาติฟัง อธิบายว่าอาจจะเกิดอะไรกับคนไข้ได้บ้าง และอธิบายให้คนไข้เข้าใจว่าคุณหมอจะสามารถช่วยเหลือคนไข้ได้แค่ไหน เช่น การให้ยาแก้ปวด การให้อาหารเหลวหากคนไข้ไม่สามารถรับประทานเองได้ เป็นต้น.
- สนทนากับคนไข้เพื่อให้รู้ว่าคนไข้มีความคาดหวังอย่างไรบ้าง อยากให้หมอช่วยเหลืออะไรมากน้อยแค่ไหน. คนไข้จำนวนมากปรารถนาจะกลับไปเสียชีวิตที่บ้าน ในเตียงของตนเอง ท่ามกลางญาติพี่น้องที่รัก มากกว่าจะนอนเสียชีวิตในโรงพยาบาลท่ามกลางเครื่องมือช่วยชีวิต สายยางและท่อต่างๆที่ระโยงระยาง ห้อยอยู่รายรอบตัว.
4. เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ คุณหมอได้คุยกับคนไข้เรื่องความเชื่อ ความเข้าใจ ความรับรู้ของคนไข้ต่อการุณยฆาตไปแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ถึงเวลาที่คุณหมอจะต้องใช้เทคนิคกระจกเงา พูดคุยเพื่อสะท้อน ความเชื่อ ความเข้าใจของคุณหมอ เกี่ยวกับการุณยฆาต (discussion beliefs about physician-assisted suicide) ให้คนไข้ได้ฟัง ได้รับรู้บ้างครับ.
คุณหมอบางท่านอาจเห็นด้วย คุณหมอบางท่านอาจคัดค้าน แต่ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน คุณหมอจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชี้ให้คนไข้เห็นว่า การุณยฆาตยังไม่ได้รับการอนุญาตให้กระทำได้ในประเทศของเราครับ.
.....................................
เมื่อมีการร้องขอให้แพทย์ทำการุณยฆาตขึ้นในเวชปฏิบัติ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม คุณหมอย่อมรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมากที่จะต้องสื่อสารกับคนไข้และญาติ เพราะหัวข้อนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และยังเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศไทย.
หากการร้องขอให้แพทย์ทำการุณยฆาตมีจำนวนมากขึ้นในอนาคต นั่นหมายถึงว่าคุณหมอและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คงจะต้องหันมาทบทวนในเรื่องต่อไปนี้ครับ.
1. ระบบการดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย (palliative care system) ของเราได้มาตรฐานดีพอแล้วหรือยัง มีทีมดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายในสถานพยาบาลอย่างทั่วถึงทุกระดับหรือไม่ ความรู้ความเข้าใจของบุคลากรในการดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายมีมากน้อยเพียงใด.
มีข้อมูลว่า ในประเทศที่ระบบการดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายดี อัตราการร้องขอการุณยฆาตก็จะน้อยลงไปเป็นเงาตามตัว. ประเทศที่มีคนไข้ระยะสุดท้ายร้องขอการุณยฆาตมากๆ หรือฆ่าตัวตายมากๆ มักจะมีระบบการดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายที่ยังไม่ดีพอ.4
2. คนไข้ที่ร้องขอความตาย ขอให้คุณหมอทำการุณยฆาตให้นั้น จะต้องได้รับการประเมินความเครียด ประเมิน depression และประเมินดูตัวโรคที่คนไข้เป็นทุกราย.
คนไข้บางรายอาจไม่ได้ต้องการความตายจริงๆ แต่กำลังอยู่ในภาวะ depression หรือตัวยาบางชนิด, โรคบางอย่างอาจทำให้คนไข้เกิด hallucination ขึ้นได้.5
3. จากสถิติของ Oregon Department of Human Services และสำนักงานประกันสังคมรัฐ ออเรกอน6 พบว่าร้อยละ 40-50 ของผู้ป่วยที่ร้องขอ หมอให้ช่วยทำการุณยฆาตให้ แต่ได้รับการปฏิเสธ มักจะลงเอยด้วยการฆ่าตัวตายและทำสำเร็จ.
ข้อมูลนี้ช่วยบอกคุณหมอ ให้คอยเฝ้าระวังคนไข้ที่ร้องขอการุณยฆาต แล้วถูกปฏิเสธไม่ทำให้ เพราะคนไข้ในกลุ่มนี้ ส่วนหนึ่งมักจะลงมือฆ่าตัวตายด้วยตัวเองครับ.
.....................................
ถึงวันนี้ยังไม่มีใครฟันธงได้ว่า การุณยฆาตนั้นเป็นสิ่งที่ดี สมควรทำหรือไม่...หลายคนเห็นด้วย หลายคนไม่เห็นด้วย ทั้งสองฝ่ายล้วนมีเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตัวเอง ไม่มีใครถูกต้องร้อยละ 100 และก็ไม่มีใครผิดร้อยละ 100.
ข้อขัดแย้งเรื่องการุณยฆาตจะยังคงมีต่อไปอีกนานครับ.
สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ มีหลายประเทศทั่วโลกผ่านร่างกฎหมายให้แพทย์สามารถกระทำการการุณย-ฆาตแก่คนไข้ระยะสุดท้ายที่หมดทางจะรักษาได้แล้ว เช่น ประเทศเนเธอแลนด์ เบลเยียม ฝรั่งเศส เป็นต้น.
ในประเทศสหรัฐอเมริกา ออเรกอนเป็นเพียงรัฐเดียวที่มีกฎหมาย The Oregon Death with Dignity Act อนุญาตให้มีการทำการุณยฆาตได้. ประเทศออสเตรเลีย ที่รัฐ Northern Territory ก็มีกฎหมาย The Right of The Terminal ill Act อนุญาตให้มีการทำการุณยฆาตได้เช่นกัน.
สำหรับประเทศไทย และประเทศในแถบเอเชียนั้น ยังไม่มีประเทศใดผ่านร่างกฎหมายเรื่องของการุณยฆาตให้เป็นการกระทำที่ถูกต้องครับ.
และประเทศที่อนุญาตให้แพทย์สามารถทำการุณยฆาตต่อคนไข้ได้นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าพอคนไข้ร้องขอความตาย แล้วแพทย์จะหยิบยื่นความตายให้ได้เดี๋ยวนั้นเลย...ยังไม่ได้นะครับ...
กระบวนการทำการุณยฆาตจะต้องมีการพิจารณาโดยคณะกรรมการ ที่ประกอบด้วยสมาชิกครอบครัวของคนไข้ แพทย์ประจำตัวของคนไข้ ตัวแทนทางฝ่ายนิติบัญญัติในท้องถิ่น เช่น อัยการ หรือทนายความ และตัวแทนขององค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น นายอำเภอ ปลัดอำเภอเสียก่อน. เมื่อคณะกรรมการร่วมกันพิจารณา ถกเถียงถึงคำร้องขอตายของคนไข้แล้วเห็นว่าสมเหตุสมผล...กระบวนการทำการุณยฆาตจึงจะเริ่มต้นได้.
หากคุณหมอสนใจเรื่องราวของการุณยฆาต ปัจจุบันนี้มีหนังสือและสื่อต่างๆมากมายที่สามารถจะสืบค้นต่อไปได้ครับ.
คุณหมอที่ชอบชมภาพยนตร์ ก็มีภาพยนตร์ สนุกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการุณยฆาตหลายเรื่อง ที่ผมแนะนำว่าควรจะหามาชม ได้แก่ The Million Dollars Baby ซึ่งได้รางวัลออสการ์มากมายเมื่อหลายปีก่อน เล่าเรื่องของนักมวยหญิงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หากต่อมาเธอกลับต้องพบกับความพลิกผันในชีวิตอย่างรุนแรง กลายเป็นอัมพาต ไม่สามารถชกมวยได้อีกต่อไป.
และอีกเรื่องหนึ่งคือ The Sea Inside ภาพยนตร์จากประเทศสเปน เรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มนักกระโดดน้ำดาวรุ่ง ที่วันหนึ่งไปเที่ยวทะเล แล้วกระโดดน้ำพุ่งลงมาจากเรือ แต่บังเอิญโชคร้ายที่ศีรษะของเขาเกิดไปกระแทกเข้ากับหินโสโครกเข้า เลยทำให้กระดูกสันหลังส่วนคอหัก และกลายเป็นอัมพาตไป...
ขออนุญาตที่จะไม่เล่าต่อนะครับ...ถ้าหากสนใจก็ลองไปหามาชมกัน แล้วคุณหมอจะเข้าใจคนไข้ที่ร้องขอการุณยฆาตขึ้นอีกมากมาย.
สุดท้ายนี้ ผมขอยกคำกล่าวของท่านดาไลลามะมาเล่าให้ฟังครับ ท่านดาไลลามะพูดถึงเรื่องความตายของมนุษย์เอาไว้อย่างน่าสนใจ.
บางครั้งท่านที่กำลังสับสนกับเรื่องการุณยฆาต อาจจะได้พบกับคำตอบต่อคำถามภายในใจ...ท่าน ดาไลลามะกล่าวเอาไว้ว่า...
"ความทุกข์ ความเจ็บปวดทรมาน เป็นผลจากกรรมของท่าน ท่านต้องรับผลกรรมนั้นอยู่แล้ว ไม่ในชาตินี้ก็ชาติหน้า เว้นเสียแต่ว่าท่านจะพบวิธีชำระล้างกรรมของตนเอง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ถือเป็นการดีกว่า ที่ท่านจะรับกรรมนั้นเสียในชาตินี้ ขณะที่ท่านเป็นมนุษย์ อันเป็นภาวะที่ท่านสามารถรับมือกับมันมากกว่าและด้วยวิธีที่ดีกว่าภาวะอื่น.
ผู้คนมากมายที่ร้องขอความตายนั้น เป็นเพราะกลัวว่าความตายเป็นเรื่องที่มิอาจจะทนทานได้ กลัวว่าตนเองจะขยับเขยื้อนไม่ได้ คลุ้มคลั่ง หรือเจ็บปวดอย่างสุดแสนทรมานและไร้จุดสิ้นสุด แต่หากเรายึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ใช้วิจารณญาณพิจารณาความตายด้วยสติ หันมาทำความเข้าใจกับความตายและความกลัวภายในจิตใจ...บางครั้งเราก็จะได้พบกับความสงบงามแห่งความตาย..."7
เอกสารอ้างอิง
1. Kathleen Forley, MD. The case against assisted suicide, For the right to End-Of-Life Care. The John Hopkins Univerisity press, 2002.
2. Back AL, Starks H, Hsu C, Gordon JR, Bharachu A, Pearlman RA. Clinician-Patient Interactions about Requests for Physician-Assisted Suicide : A Patient and Family View. Archives of Internal Medicine 2002;162:1257-65.
3. Pearlman RA, Starks H. Why do People Seek Physician - Assisted Death ?. The John Hopkins University Press, 2004.
4. Quill TE. Caring for Patients at the End of Life : Facing an Uncertain Future Together. New York : Oxford University Press, 2005.
5. Chochinov HM, Wilson KG, Enns M, Lander S. Prevalence of Depression in the Terminal ill : Effects of Diagnosis Criteria and Symptom Threshold Judgments. American Journal of Psychiatry 2004;151:537-40.
6. Haley K, Lee MA. The Oregon Death with Dignity Sct : A Guidebook for Health Care Providers. Oregon Health and Science University Press, 2006.
7. Rinpoche S. The Tibetan Book of Living and Dying. Sanfrancisco : Harper Collins, 1994.
พงศกร จินดาวัฒนะ พ.บ.
ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป)
อ.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว)
ศูนย์สุขภาพชุมชน 1
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม
โรงพยาบาลราชบุรี
- อ่าน 3,870 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้